Sunday, September 15, 2013

นกบางชนิดบินได้สูงมากนกที่บินได้สูงที่สุดคือห่าน ซึ่งบินได้สูงกว่า 29,000 ฟุต เคยปรากฏว่านก คอนดอร์ (condor)ในอเมริกาใต้บินชนกับเครื่องบินที่บินอยู่สูง 20,000 ฟุต นกทั่ว ๆ ไปบินไม่สูงเกินกว่า 3,000 ฟุต ในขณะอพยพ ย้ายถิ่น นกมักบินต่ำกว่าเมฆที่ลอยอยู่ต่ำสุด ไม่บินสูงขึ้นไปมากกว่านั้น
นกบางชนิดมีปีกเล็กมากเมื่อเทียบกับลำตัวจนบินไม่ได้ นกที่บินไม่ได้เหล่านี้ เคลื่อนที่โดยวิ่ง หรือเดินไปบนพื้นดิน อาศัยการกระพือปีกเพื่อพยุงลำตัวไปในขณะวิ่ง นกที่บินไม่ได้บางชนิดวิ่งได้เร็วมาก เช่น นกกระจอกเทศ ซึ่งอาจวิ่งได้เร็วถึง 50 ไมล์ต่อชั่วโมง
แม้ว่า นกส่วนมาก จะเป็นนกที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน แต่ก็มีนกจำนวนไม่น้อยที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ ใกล้น้ำ และอาจว่ายน้ำหรือดำน้ำได้ดี นกที่ได้ชื่อว่าว่ายน้ำเก่งที่สุด ได้แก่ นกลูน (loon) ซึ่งเป็นนกที่มี รูปร่างคล้ายเป็ดแต่มีปากแหลม อาศัยอยู่ในแถบขั้วโลกเหนือ นกลูนอาจดำลงไปใต้น้ำไล่จับปลากินเป็นอาหาร นกแกนเนต (gannet)ซึ่งเป็นนกน้ำอีกชนิดหนึ่งเป็นนกที่อาจดำน้ำได้เก่งอย่างยอดเยี่ยม นกแกนเนตอาจดำน้ำได้ลึกถึง 60 หรือ 100 ฟุต
โดยทั่วไปนกมีอายุยืนประมาณ 5 ถึงกว่า 50 ปี นกที่อายุยืนที่สุด ได้แก่ นกราเวน(raven) อายุยืน กว่า 69 ปี นกแก้วมาคอว์ (macaw)อายุยืนน้อยกว่านั้นเล็กน้อยคือประมาณ 64 ปีนกได้ชื่อว่าเป็นนักเดินทางที่สามารถเดินทางได้เป็นระยะทางไกลที่สุดในกระบวนสัตว์ นกที่เดินทางเก่ง ที่สุด ได้แก่ นกนางนวลแกลบแห่งขั้วโลกเหนือ เมื่อถึงฤดูหนาวอากาศหนาวจัด นกนางนวลแกลบจะพากันบินจากขั้วโลกเหนือ อพยพไปอยู่ที่ขั้วโลกใต้ พอหมดฤดูหนาวก็อพยพกลับถิ่นที่อยู่เดิม ปรากฏว่าในรอบหนึ่งปี นกชนิดนี้ต้องบินอพยพเป็น ระยะทางไกลถึง 22,000ไมล์
นกในโลกมีอยู่ประมาณ 8,600 ชนิด อาศัยอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งเฉพาะในประเทศไทยมี830 ชนิด บางชนิดเราไม่เคย พบเห็นเลย เพราะเป็นนกที่อาศัยอยู่ในป่า หรือบนภูเขาสูง และบางชนิดเป็นนกประจำถิ่น มีเฉพาะในบางบริเวณ เช่น นก ที่มีถิ่นอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย ในเขตกรุงเทพมหานครมีนกอยู่ประมาณ200 ชนิด
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่านกเกิดมีขึ้นบนโลกนานกว่า 150ล้านปีมาแล้วโดยมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน เห็นได้จากการที่หน้าแข้งของนกยังคงมีเกล็ดคล้ายเกล็ดของกิ้งก่า และจากการที่นกออกลูกเป็นไข่เช่นเดียวกับสัตว์ เลื้อยคลาน แต่นกเจริญกว่า เพราะนกทำรัง ออกไข่ กกไข่ และเลี้ยงดูลูกอ่อน สัตว์เลื้อยคลานไม่ทำเช่นนั้น
นกมีหลายชนิดนกบางชนิดมีตัวเล็กจนแทบจะกำไว้ในมือได้ แต่บางชนิดก็มีขนาดใหญ่กว่านั้น หลายสิบเท่า นกที่เล็กที่สุด ได้แก่ นกฮัมมิง (bee hummingbird) ซึ่งเป็นนกพื้นเมืองของคิวบา มีลำตัวยาวประมาณสองนิ้ว หนัก เพียงเศษหนึ่งส่วนสิบออนซ์ ส่วนนกกระจอกเทศซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนกที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาจสูงได้ถึงแปดฟุต และหนัก ถึง 300 ปอนด์
นกส่วนมากมีรูปร่างเพรียวหัวแหลมท้ายแหลม มีปีกสองปีก บินได้ในอากาศ ปีกของนกแต่ละชนิดมี ความยาวแตกต่างกันไป นกที่มีปีกยาวที่สุด ได้แก่ นกอัลบาทรอส(albatross) ซึ่งเป็นนกทะเลชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ใน มหาสมุทรใน ซีกโลกภาคใต้ เมื่อเหยียดปีกออกเต็มที่วัดจากปลายปีกด้านหนึ่งถึงปลายปีกอีกด้านหนึ่งอาจยาวได้ถึงสิบสองฟุต นกอัลบาทรอสอาจกางปีกบินร่อนอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมง แต่ไม่ใช่นกที่บินเร็วที่สุด
การบินเร็วหรือบินช้าของนกขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่หน้าอก และอัตราการกระพือปีก นก ที่บินได้เร็วมาก ๆ ได้แก่ นกจำพวกเหยี่ยวนกอินทรีบางชนิดบินได้เร็วถึง 180 ไมล์ต่อชั่วโมง นับเป็นนกที่บินเร็วที่ สุด นกนางแอ่นบินได้ประมาณ 60-70ไมล์ต่อชั่วโมง
หนังสือค้นคว้าเรื่องนกในประเทศไทย โดย กิติ ทองลงยา
เป็นที่น่าเสียใจว่า เรายังไม่มีหนังสือเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่หรือหนังสือแนะนำชนิดนกเป็นภาษาไทยเลย อย่างไรก็ตาม หนังสือที่เด็กๆ ควรได้อ่านได้เห็น ก็คือหนังสือเรื่อง "BIRD GUIDE OF THAILAND" ของนายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล มีรูปสีของนกทุกชนิดที่รู้จักหรือเคยพบในประเทศไทย พร้อมด้วยคำอธิบายย่อๆ เป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจต่อไป
ทางสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย ได้ร่วมมือกับชาติอื่นๆ ทางแถบเอเชียตะวันออก เพื่อศึกษาเส้นทางอพยพย้ายถิ่นของนกเหล่านี้ โดยได้ร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย โดยประเทศเหล่านี้ได้ทำการดักนกต่างๆ แล้วสวมปลอกกำไลขานก แล้วปล่อยไป ผู้จับนกที่มีปลอกกำไลขาเหล่านี้ได้ ก็จะทราบถึงทิศทาง อายุ และเวลาที่ใช้ในการบินของนกชนิดนั้นได้ นกที่มีปลอกกำไลนี้อาจจะถูกจับได้ภายในประเทศหรือต่างประเทศ การศึกษาเรื่องนกอพยพนี้ได้เริ่มทำกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ มีผลสรุปได้ดังนี้ คือ
๑. นกนางแอ่นที่เกาะสายไฟตามถนนเยาวราช เจริญกรุง และสีลมนั้น ทำรังวางไข่แถบแคว้นอะมัวแลนด์ ประเทศไซบีเรีย โดยเราได้จับนกทำการสวมปลอกกำไลขานกที่ถนนเหล่านี้แล้วปล่อยไป ต่อมามีผู้พบนกซึ่งมีปลอกกำไลขาเหล่านี้ ทำรังวางไข่ ที่แคว้นอะมัวแลนด์ ประเทศไซบีเรีย
๒. นกนางแอ่นจะบินผ่านเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ โดยเราสวมปลอกกำไลขา และมีผู้จับได้ในประเทศดังกล่าวมาแล้ว นอกจากนั้นทางสถาบันวิจัย ฯ ยังเคยจับนกนางแอ่นจากถนนดังกล่าว ซึ่งมีปลอกกำไลของประเทศเกาหลีใต้ได้เช่นกัน
๓. นกนางแอ่นเหล่านี้ ได้บินผ่านเลยไปจนถึงสหพันธ์มาเลเซีย โดยทางสหพันธ์มาเลเซียเคยจับนกที่มีปลอกกำไลของประเทศไทย และทางประเทศไทยก็เคยจับนกที่มีปลอกกำไลของสหพันธ์มาเลเซียได้เช่นกัน
๔. นกนางแอ่นเหล่านี้ บินผ่านนครราชสีมา ลงมายังกรุงเทพ ฯ เพราะในขณะที่เราจับนกนางแอ่นที่ถนนเยาวราชอยู่นั้น ได้พบปลอกกำไลที่ทำเองและเขียนว่า "โคราช" อยู่ด้วย บางพวกอาจมาตามชายฝั่งทะเลชลบุรี เพราะมีผู้สวมกำไลนกนางแอ่นที่ชลบุรี แล้วมาจับได้อีกที่กรุงเทพฯ ในเวลาต่อมา
๕. นกปากห่างที่ทำรังอยู่วัดไผ่ล้อมตอนปลายฤดูฝนนั้น พบว่าได้อพยพย้ายถิ่นไปหากินถึงประเทศปากีสถานตะวันออก (บังคลาเทศ) เขมร และลาว ด้วย
๖. นกกระจาบปีกอ่อน พบมากตามภูเขาสูงทางภาคเหนือ พบว่าอพยพลงมาจากประเทศเกาหลี โดยทางเกาหลีจับนกกระจาบปีกอ่อนมีกำไลขา ซึ่งใส่ไปจากประเทศไทยได้
๗. นกกระสาแดง ที่ปล่อยจากไซบีเรีย เคยมีคนพบที่จังหวัดชัยภูมิ โดยนกกระสาแดงนั้นมีปลอกกำไลสวมที่ขาจากสถาบันค้นคว้าการอพยพของนกจากไซบีเรียอยู่ด้วย
๘. นอกจากนี้เรายังเรียนรู้ว่านกส่วนใหญ่ที่อพยพผ่านประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีนั้น จะอพยพลงไปทางประเทศฟิลิปปินส์เป็นส่วนใหญ่
ทั้งหมดนี้เป็นผลของการศึกษาเรื่องการอพยพย้ายถิ่นของนก โดยทางสถาบันวิจัยวิทยา-ศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนของประเทศไทยเข้าทำการค้นคว้าร่วมกับสถาบันของชาติอื่นๆ และก็ได้เคยประกาศขอความร่วมมือจากประชาชนว่า หากพบปะหรือจับนกที่สวมปลอกกำไลขาได้ ก็ขอได้โปรดแจ้งให้ทางสถาบันวิจัยฯ ทราบด้วย
สัตว์ปีก หรือ นก (รวมถึง ไก่, เป็ด, ห่าน, ไก่ฟ้า) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้น Aves (คำว่า Aves เป็นภาษาละติน หมายถึง นก) โดยมีลักษณะทั่วไปคือ เป็นสัตว์ทวิบาท เลือดอุ่น ออกลูกเป็นไข่ รยางค์คู่หน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นปีก มีขนนก และมีกระดูกที่กลวงเบา
ในปัจจุบันทั่วโลกมีนกอยู่ประมาณ 8,800 ถึง 9,800 ชนิด (ตามการจัดอนุกรมวิธานที่ต่างกัน) ซึ่งนับว่านกเป็นชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีความหลากหลายมากที่สุด ในบรรดาชั้นของสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน ความหลากหลายของนกนับเนื่องไปตั้งแต่ในเรื่องของขนาดตัว สีสัน เสียงร้อง อาหารการกิน และถิ่นที่อยู่อาศัย
นกเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญเป็นอันมากทั้งต่อระบบนิเวศและต่อชีวิตมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับนกเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น และการเกื้อกูลกันระหว่างนกกับสรรพสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติก็เป็นไปอย่างแนบแน่น ถ้าหากปราศจากนก คงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงการดำรงอยู่ต่อไปของชีวภาคใบนี้

Sunday, September 1, 2013


ทเริ่มต้นของนกแก้ว (The Original of Parrots)         “นกแก้ว” (Parrot) ชื่อนี้เป็นที่คุ้นหูและคุ้นเคยของคนไทย แต่ยังขาดความเข้าใจขั้นพื้นฐานในความหมายของคำว่า “นกแก้ว” อย่างแท้จริง เพราะเวลาเราเรียกนกแก้ว เราจะต้องระบุชื่อของสายพันธุ์ของนกด้วย ปัจจุบันมีนกแก้วมากกว่าห้าร้อยกว่าสายพันธุ์ในโลกนี้ ความหมายของคำว่า “นกแก้ว” นั้นหมายถึง นกปากขอ(ลักษณะปากเป็นตะขอโค้งงอ) บางสายพันธุ์สามารถฝึกให้เลียนเสียงได้ (พูดได้) แต่บางสายพันธุ์ไม่มีความสามารถในการเลียนเสียงได้ (พูดไม่ได้) หรือถ้าจะฝึกให้พูดได้ อาจจะใช้ความสามารถและเวลาของผู้ฝึกค่อนข้างมาก จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่มนุษย์เรามักที่จะเลือกนกแก้วมาเลี้ยง เพื่อทำการฝึกพูด แต่ในปัจจุบัน การนำนกแก้ว มาเลี้ยงมีจุดประสงค์มากมายหลายอย่างด้วยกัน เช่น

macore14macore15
การนำนกมาแสดงนกแก้วมาร์คอว์ที่ใช้แสดง
boom_ka_bank_pet_013

กรงเลี้ยงนกแก้วขนาดใหญ่

 
     -เลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อน เพลิดเพลินภายในบ้าน และความสุขของครอบครัว
     -เลี้ยงเพื่อเพาะขยายพันธุ์ เพื่อเชิงพาณิชย์(ปัจจุบันมีเพิ่มปริมาณมากขึ้นทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ แต่อยู่ในเงื่อนไขอนุสัญญา CITES รายละเอียด อยู่ในกฎกระทรวง)
     -เลี้ยงเพื่อการศึกษา ทำวิจัย รวมทั้งจัดเป็นสวนสัตว์สาธารณะ
     -เลี้ยงเพื่อจุดประสงค์อื่นๆ (อาจมีน้อย)
       เมื่อพูดถึงนกแก้ว เรามักจะนึกถึง นกแก้วสีเขียว (Normal-Wild type) เป็นนกแก้วธรรมชาติ เช่น เลิฟเบิร์ด หงส์หยก อิคเลคตัส แก้วโม่ง แก้วอินเดี่ยน ริงค์เน็ค ฯลฯ แต่บางชนิดถึงแม้จะเป็นนกธรรมชาติ (Normal) แต่ก็ไม่มีสีเขียว เช่น นกค๊อกคาเทล มาร์คอว์ กระตั้ว และ อีกหลายๆสายพันธุ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วในตัวนกแก้วเองกลับไม่มีสีเขียว (สีจริงๆ) เลยแม้แต่น้อย แต่เป็นการสะท้อนชั้นสีที่หลอกตาเราซึ่ง เราเรียกว่า (Tyndall effect) ชั้นสีที่เราเห็นออกเป็นสีเขียวนั้นประกอบไปด้วย ชั้นล่างสุดเป็นสีพื้น (Structural colour) มีสีเทาออกดำ เราเรียกว่า เมลานิน (Melaningranules) เหนือชั้นเมลานินขึ้นมาจะเป็นพื้นสีฟ้า (Blue Layer) เราเรียก grey family pigment และเหนือชั้นสีฟ้าจะเป็นพื้นสีเหลือง (Yellow family pigment) หรืออาจเรียกว่าสีนกแก้ว (Psittacins) เมื่อเรามองจากข้างบนลงไปจะผ่านสีเหลืองลงไปพื้น สีฟ้าและสีเทาซึ่งเป็นสีพื้น (Ground Structural colour) ภาพที่แสดงออกมาให้เราเห็นจะเป็นสีเขียว เราเรียกว่าสีนกแก้ว (Parrot Psittacins)


แก้วโม่ง (อังกฤษAlexandrine parakeet, Alexandrine parrotชื่อวิทยาศาสตร์:Psittacula eupatria) เป็นนกตระกูลนกแก้วขนาดเล็ก-กลาง โดยมีชื่อสามัญตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่อเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์แห่งอาณาจักรมาซิโดเนีย เมื่อครั้งยาตราทัพเข้ามาสู่ในทวีปเอเชียโดยได้นำนกแก้วชนิดนี้กลับไปยังทวีปยุโรป
นกแก้วโม่งมีถิ่นกำเนิดแพร่กระจายทั่วไปในแถบทวีปเอเชีย ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกและตะวันออกของอัฟกานิสถาน, ไล่ลงไปยังอินเดียอินโดจีน เช่น พม่า หรือ ประเทศไทยฝั่งตะวันตก รวมทั้งยังพบได้ตามหมู่เกาะในทะเลอันดามัน

ลักษณะ[แก้]

นกแก้วโม่งมีความยาววัดจากหัวถึงปลายหางได้ราว 57-58 เซนติเมตร ลำตัวมีสีเขียว จงอยปากมีลักษณะงุ้มใหญ่สีแดงสด บริเวณหัวไหล่จะมีแถบสีแดงแต้มอยู่ทั้งสองข้าง นกเพศผู้และเมียสามารถแยกแยะได้เมื่อนกโตเต็มที่ กล่าวคือในเพศผู้จะปรากฏมีแถบขนสีดำและสีชมพูรอบคอที่เรียกกันว่า "Ring Neck" ซึ่งในนกเพศเมียไม่มีเส้นที่ปรากฏดังกล่าว

อนุกรมวิธาน[แก้]

นกแก้วโม่ง มีชนิดย่อยลงไปอีก 4 ชนิด คือ
ความแตกต่างของแต่ละชนิดย่อยนั้น อาจมีต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของ ขนาด, ความยาว และสีสันที่ปรากบนลำตัว

พฤติกรรม[แก้]

อาหารของนกแก้วโม่งในธรรมชาติ ประกอบด้วย เมล็ดพืชต่าง ๆ, ผลไม้หลากชนิด, ใบไม้อ่อน ฯลฯ
นกแก้วโม่งจัดเป็นนกแก้วที่มีเสียงร้องค่อนข้างดัง และมักเลือกที่จะทำรังตามโพรงไม้ใหญ่ ๆ โดยใช้วิธีแทะหรือขุดโพรงไม้จำพวกไม้เนื้ออ่อน หรืออาจเลือกใช้โพรงไม้ที่เก่าต่าง ๆ โดยในฤดูผสมพันธุ์ซึ่งจะแตกต่างกันตามลักษณะสายพันธุ์ย่อย อันเกี่ยวเนื่องกับอุณหภูมิและสภาพทางภูมิศาสตร์ แต่โดยเฉลี่ยจะเริ่มจากเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงราวปลายเมษายน โดยในระหว่างฤดูผสมนี้เพศเมียจะค่อนข้างแสดงอาการดุ และก้าวร้าวมากขึ้น
แก้วโม่งวางไข่ปีละครั้ง ครั้งละ 2-4 ฟอง

สถานะการอนุรักษ์[แก้]

นกแก้วโม่งจัดเป็นนกแก้วที่นิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ เพราะพบว่าเป็นนกแก้วที่มีความสามารถในการเลียนเสียงต่าง ๆ โดยเฉพาะเสียงมนุษย์ได้ดี ปัจจุบันนกแก้วโม่งจัดเป็นนกที่อยู่ในบัญชีคุ้มครอง 2 ของอนุสัญญาไซเตส รวมทั้งเป็นนกที่กฎหมายให้ความคุ้มครองในแต่ละประเทศด้วยเช่นกัน
นกแก้วโม่งเป็นนกที่ได้รับการนำมาเพาะพันธุ์โดยมนุษย์ประสบผลสำเร็จ ทำให้แนวทางในลดปัญหาจากลักลอบจับหรือล่านกแก้วโม่งป่า เพื่อการค้า มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

การเลี้ยงดู[แก้]

สำหรับการเลี้ยงนกแก้วโม่งในครอบครองนั้น ผู้เลี้ยงควรต้องศึกษาในเรื่องของพฤติกรรมความเป็นอยู่, ลักษณะนิสัย รวมทั้งการจัดการด้านอาหารและสถานที่เลี้ยงให้ถูกต้อง เพราะการเลี้ยงนกที่ผิดไปจากธรรมชาติถิ่นที่อยู่เดิมนั้น ปัญหาประการหนึ่งก็คือ "ความเครียด" ของนก ดังนั้นการจัดหาความพร้อมทั้งสถานที่,อุปกรณ์ อาหารการกินที่เหมาะสม อาจช่วยให้นกได้รู้สึกมีความสุขและลดความเครียดลง รวมทั้งยังพร้อมที่จะตอบสนองต่อการเป็นนกในฐานะสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ได้อย่างมีความสุข และมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป[2]


แยกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้มากกว่า 500 ชนิด มีพื้นเพที่อยู่อาศัยตั้งเดิมอยู่ในป่าทึบ ในเขตร้อนของประเทศ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย หมู่เกาะมลายู แอฟริกา ทางใต้ของทิศ เหนือของอเมริกา อินเดีย นอกจากนี้แล้วยังพบทางแถบตะวันตกของอินเดียโดยทั่วไป นกในตระกูลนกแก้วนั้น มักมีความแตกต่างไปจากนกตระกูลอื่นอยู่อย่างหนึ่ง คือ จงอย ปากตอนบนของนกแก้วสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่รวมกับหน้าผาก (ขากรรไกร) และมี ลักษณะเด่นได้แก่ ปากคมแข็ง จงอยปากงุ้มเข้าโคนใหญ่ปลายแหลมน่ากลัว เท้ามีนิ้วข้าง หลังสองนิ้วและข้างหน้าสองนิ้วทุกนิ้วมีเล็บที่แหลมคม สามารถใช้เท้าจับกิ่งไม้ได้เหนียว แน่น ปีนป่ายคันไม้ได้เก่งเป็นพิเศษ และในบางโอกาสยังสามารถจับฉีกอาหารได้ด้วย ปาก ส่วนใหญ่เป็นสีแดง ขนเป็นสีเขียว สามารถนำมาฝึกสอนให้พูดภาษาของมนุษย์ได้แทบทุก ชนิด สำหรับรังและที่อยู่อาศัยของนกแก้วโดยทั่วไปมักอยู่ตามในโพรงไม้ หรือโพรงหิน ไม่นิยมใช้วัสดุต่าง ๆ ทำรัง นกจากนกแก้ว เควเคอร์(Quaker Parrakeet) และ นกแก้ว อัฟเบริด์ (Lovebirds) นกแก้วทั้ง 2 ชนิดนี้ นิยมทำรังโดยใช้แขนงหรือกิ่งไม้เล็ก ๆ เศษ หญ้า เปลือกไม้โดยนำมาสานประกอบขึ้นเป็นรัง 

ชนิดและพันธุ์นกแก้ว 

1. ครอบครัวแพร์รัทส์ (Parrot) 

2. พันธุ์คอคคาทู (Cockatoos) 

3. พันธุ์มาคอว์ (Macaws) 

4. พันธุ์เลิฟเบิรด์ (Lovebird) 

5. พันธุ์พาร์ราคีท (Parrakeets) 

ที่อยู่อาศัยและวิธีเลี้ยง 

1. เลี้ยงโดยให้เกาะอยู่บนคอน 

ขาตั้งและคอนสำหรับนกแก้วนั้น จะทำให้นกรู้สึกอิสระและออกกำลังกายได้สะดวก คอนควร ทำด้วยวัสดุเนื้อแข็ง ถ้าคอนเป็นไม้ปลายทั้งสองควรหุ้มด้วยโลหะ มิฉะนั้นนกจะฉีกแทะเล่น ในกรณีที่นกยังไม่เชื่องพอ ควรใช้กำไลสวมข้อเท้าซึ่งติดกับโซ่สวมไว้ก่อน และควรขลิบปีก เสียข้างหนึ่งเพื่อป้องกันนกบินหนี บริเวณขนที่จะต้องตัดออกคือขนปีกชั้นที่ 1 ทั้ง 5 โดย ขลิบออกประมาณ 1 นิ้ว 

2. เลี้ยงด้วยกรงภายใน 

ในกรณีที่นกแก้วเป็นนกรูปร่างเล็ก ขนาดของกรงโดยทั่วไปแล้วไม่ควรมีขนาดกว้างสูง ต่ำ กว่า 2x3 ฟุต ขนาดของกรงนั้นจะเหมาะสมกับนกหรือไม่สังเกตุได้จากเมื่อนกเกาะอยู่กลาง กรง หากนกมีโอกาสกางปีกออกได้สะดวก โดยไม่ติดกับกรงหรือคอน ก็จัดได้ว่ามีความพอดี 

3. เลี้ยงด้วยกรงภายนอก 

การเลี้ยงนกแก้วด้วยกรงภายนอกนั้นเป็นการดียิ่งสำหรับสุขภาพนก เพราะนกได้อยู่กับสิ่งแวด ล้อมคล้ายกับถิ่นเดิม อากาศโปร่งบริสุทธิ์ นกออกกำลังกายได้ตลอดเวลาแต่ต้องคำนึงถึงแสง แดดและฝน อย่าให้โดนมากเกินไป 

อาหารทั่วไปสำหรับเลี้ยงนกแยกออกเป็นชนิดต่างๆได้ดังนี้ 

1. เมล็ดข้าวชนิดต่างๆ ซึ่งมีส่วนผสมของเมล็ดทานตะวัน, ข้าวโอ๊ท, ข้าวสาลี, เมล็ดกัญชา, เมล็ดข้าวโพด, ถั่วลิสง, และเมล็ดข้าวอื่นๆที่กระเทาะเปลือกแล้ว 

2. ผลไม้ต่างๆ เช่น แอ๊ปเปิ้ล, กล้วย, องุ่น, ส้ม และผมไม้มุกชนิด 

3. อาหารจำพวกผักสด เช่น หัวมันเทศ, หัวผักกาด, หัวแคร์รอท, ผักโขม, หรือผักจำพวกกระหล่ำปลี, และผักในสวนครัวชนิดอื่นๆ 

4. กระดองปลาหมึก, ทราย 

5. ไข่, และขนมปังทุกชนิด ซึ่งทำชึ้นจากข้าวชนิดต่างๆ 
นกที่คนไทยชอบเลี้ยงมาแต่โบรานมีนกแก้วรวมอยู่ด้วย เพราะนกแก้วสามารถเลียนเสียมนุษย์ได้ กล่าวกันว่ามันมีความจำดี เรียนรู้ได้เร็ว ถ้าพูดอะไรให้ฟังบ่อยๆก็สามารถพูดได้ 

กล่าวกันว่าเมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทับไปบุกอินเดียได้ทอดพระเนตรเห็นนกแก้วเข้าก็ชอบพระทัยได้ทรงนำกลับยุโรปด้วยและในไม่ช้าก็เป็นที่นิยมมาก ด้วยเหตุนี้ในสมัยนั้นนกแก้วจึงมีราคาแพงมาก จึงได้มีการค้าขายนกแก้วทั้งในยุโรปและเอเชีย 

การที่คนเราชอบเลี้ยงนกแก้วนั้นเห็นจะเป็นเพราะเหตุ 4 ประการ 

1. นกแก้วมีสีสวย รูปร่างงดงาม 

2. สามารถพูดเลียนภาษามนุษย์ได้ 

3. เลี้ยงง่าย 

4. อายุยืน(ในเรื่อง Popular Pet Birds ของ R.P.N. Sinha กล่าวว่า นกแก้วมีอายุยืนมาก อาจอยู่ได้ถึง 70 ปี) 

 
(
ชื่อวิทยาศาสตร์Psittacus torquata) แยกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้มากกว่า 500 ชนิด มีพื้นเพที่อยู่อาศัยตั้งเดิมอยู่ในป่าทึบ ในเขตร้อนของประเทศ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย หมู่เกาะมลายู แอฟริกา ทางใต้ของทิศ เหนือของอเมริกา อินเดีย นอกจากนี้แล้วยังพบทางแถบตะวันตกของอินเดียโดยทั่วไป นกในตระกูลนกแก้วนั้น มักมีความแตกต่างไปจากนกตระกูลอื่นอยู่อย่างหนึ่ง คือ จงอย ปากตอนบนของนกแก้วสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่รวมกับหน้าผาก (ขากรรไกร) และมี ลักษณะเด่นได้แก่ ปากคมแข็ง จงอยปากงุ้มเข้าโคนใหญ่ปลายแหลมน่ากลัว เท้ามีนิ้วข้าง หลังสองนิ้วและข้างหน้าสองนิ้วทุกนิ้วมีเล็บที่แหลมคม สามารถใช้เท้าจับกิ่งไม้ได้เหนียวแน่น ปีนป่ายคันไม้ได้เก่งเป็นพิเศษ และในบางโอกาสยังสามารถจับฉีกอาหารได้ด้วย ปาก ส่วนใหญ่เป็นสีแดง ขนเป็นสีเขียว สามารถ นำมาฝึกสอนให้พูดภาษาของมนุษย์ได้แทบทุกชนิด
สำหรับรังและที่อยู่อาศัยของนกแก้วโดยทั่วไปมักอยู่ตามในโพรงไม้ หรือโพรงหิน ไม่นิยมใช้วัสดุต่าง ๆ ทำรัง นกจากนกแก้ว เควเคอร์(Quaker Parrakeet) และ นกแก้ว อัฟเบริด์ (Lovebirds) นกแก้วทั้ง 2 ชนิดนี้ นิยมทำรังโดยใช้แขนงหรือกิ่งไม้เล็ก ๆ เศษ หญ้า เปลือกไม้โดยนำมาสานประกอบขึ้นเป็นรังเป็นนกปากงุ้มเป็นขอในวงศ์ Psittacidae ตัวสีเขียว ปากแดง อยู่รวมกันเป็นฝูง กิน
เมล็ดพืชและผลไม้ ในประเทศไทยมีหลายชนิด เช่น นกแก้วโม่ง (Psittacula eupatriaแก้วหัวแพร (P. roseata) นกมาคอว์ อาหารที่ชอบกินคือผลไม้ โดยนกแก้วมีหลายชนิดและมีสีสดใส ส่วนมากเราจะเห็นนกแก้วมีสีแดง สีน้ำเงิน สีฟ้า
นกที่คนไทยชอบเลี้ยงมาแต่โบรานมีนกแก้วรวมอยู่ด้วย เพราะนกแก้วสามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้ กล่าวกันว่ามันมีความจำดี เรียนรู้ได้เร็ว ถ้าพูดอะไรให้ฟังบ่อยๆก็สามารถพูดได้ กล่าวกันว่าเมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทับไปบุกอินเดียได้ทอดพระเนตรเห็นนกแก้วเข้า ก็ชอบพระทัยได้ทรงนำกลับยุโรปด้วย และในไม่ช้าก็เป็นที่นิยมมาก ด้วยเหตุนี้ในสมัยนั้นนกแก้วจึงมีราคาแพงมาก จึงได้มีการค้าขายนกแก้วทั้งในยุโรปและเอเชีย การที่คนเราชอบเลี้ยงนกแก้วนั้นเห็นจะเป็นเพราะเหตุ 4 ประการ
  1. นกแก้วมีสีสวย รูปร่างงดงาม
  2. สามารถพูดเลียนภาษามนุษย์ได้
  3. เลี้ยงง่าย
  4. อายุยืน อย่างในเรื่อง Popular Pet Birds ของ R.P.N. Sinha กล่าวว่า นกแก้วมีอายุยืนมาก อาจอยู่ได้ถึง 70 ปี
 
 
 

พฤติกรรมของนก

ในแต่ละช่วงเวลาของปี หากเราเฝ้าสังเกตรายละเอียดพฤติกรรมของนก นอกเหนือจากที่นกได้แสดงออกในแต่ละวัน จะพบว่านกทุกชนิดล้วนมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา บางช่วงจะพบนกส่งเสียงร้องดังอยู่ตลอดเวลา ขณะที่บางฤดูกลับสงบเงียบ บางครั้งอาจได้พบนกชนิดแปลกๆ ใกล้บ้านแต่บางเวลานกที่เราเคยพบเห็นอยู่ประจำกลับมีสีสันเปลี่ยนไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวงจรชีวิตของ นก ซึ่งมีความสัมพันธ์กันสำหรับการดำรงชีวิตของนกท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ในรอบหนึ่งปีวงจรชีวิตของนกสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ช่วงฤดูผสมพันธุ์
เป็น ช่วงที่มีความสำคัญกับนกมากที่สุด เพราะเป็นโอกาสที่นกจะได้ผสมพันธุ์และออกลูก เพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไป นกแต่ละชนิดต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อฤดูผสมพันธุ์มาถึง ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่มีอาหารสมบูรณ์พอสำหรับเลี้ยงดูลูกนกให้รอดชีวิต นกส่วนใหญ่จึงมักวางไข่ในช่วงปลายฤดูแล้งไปจนถึงกลางฤดูฝน เพื่อให้ลูกนกเจริญเติบโตขึ้นมาในช่วงที่มีอาหารสมบูรณ์ แต่นกน้ำจะเลือกผสมพันธุ์กันในช่วงปลายฤดูฝน เพราะเป็นช่วงฤดูน้ำหลาก มีอาหารอุดมสมบูรณ์สำหรับเลี้ยงลูกนกที่ออกจากรังพอดี
ใน แต่ละปีนกต้องผสมพันธุ์อย่างน้อย 1 ครั้ง แต่ก็มีหลายชนิดที่ผสมพันธุ์มากกว่านั้น ช่วงเวลาในการผสมพันธุ์จะใกล้เคียงกันสำหรับนกชนิดนั้นๆ และนกมักจับคู่ผสมพันธุ์กันในถิ่นเดิมทุกปี แม้นกย้ายถิ่นยังต้องบินกลับไปสร้างรังวางไข่ยังถิ่นเดิม เพราะมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการผสมพันธุ์และเลี้ยงลูกนก นกส่วนใหญ่จับคู่ผสมพันธุ์กับตัวเมียเพียงตัวเดียว บางชนิดจับคู่ด้วยกันตลอดชีวิต เช่น นกกระเรียน แต่บางชนิดตัวผู้ผสมพันธุ์กับตัวเมียหลายตัว เช่น ไก่ ซึ่งตรงข้ามกับนกโป่งวิด ที่ตัวเมียจะเป็นฝ่ายผสมพันธุ์กับตัวผู้หลายตัว แล้วปล่อยให้ตัวผู้ฟักไข่และเลี้ยงลูกตามลำพัง
เมื่อ ถึงช่วงฤดูผสมพันธุ์ ส่วนใหญ่นกตัวผู้จะเป็นฝ่ายสร้างความสนใจเพื่อดึงดูดให้ตัวเมียมาผสมพันธุ์ บางชนิดมีการเปลี่ยนสีขนให้สดใสขึ้น เช่น นกชายเลนจะผลัดขนสีสดใสต่างไปจากสีขนปกติส่วนนกยางจะมีขนฟูยาวสวยงาม นกบางชนิดมีการเปลี่ยนแปลงอวัยวะส่วนอื่น เช่น นกโจรสลัดจะขยายถุงลมใต้คอให้โป่งพอดีเป็นสีแดงสด การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับนกในช่วงผสมพันธุ์ ช่วยให้เราสามารถจำแนกชนิดและเพศของนกได้ด้วย นอกจากนี้นกยังมีพฤติกรรมที่แสดงถึงการเกี้ยวพาราสีอีกหลายประการ เช่น เสียงร้อง ในช่วงฤดูผสมพันธุ์นกทุกชนิดจะพากันส่งเสียงร้องค่อนข้างถี่กว่าช่วงอื่น สำหรับนกยูงตัวผู้จะดึงดูดตัวเมียโดยรำแพนอวดคลุมหางที่มีสีสันสวยงาม ส่วนนกกระเรียนใช้วิธีเต้นรำในการเกี้ยวพาราสีตัวเมีย นกบางชนิดมีการสร้างสถานที่พิเศษขึ้นสำหรับการเกี้ยวพาราสี เช่น นกหว้าจะปัดกวาดพื้นเป็นลานสะอาด เพื่อการร่ายรำเกี้ยวตัวเมีย และมีนกบางชนิดที่ตัวเมียเป็นฝ่ายเกี้ยวพาราสีตัวผู้เสียเอง เพราะมีสีสันสวยกว่า เช่น นกโป่งวิด นกคุ่มอืด
เมื่อ นกได้คู่ผสมพันธุ์แล้ว ก็มาถึงช่วงของการสร้างรัง เพื่อใช้วางไข่และเลี้ยงดูลูกนกให้ปลอดภัยจากศัตรูและสภาพอากาศที่ไม่เหมาะ สม รวมทั้งยังช่วยให้ความอบอุ่นแก่ไข่และลูกนก นกส่วนใหญ่จะสร้างรังใหม่ทุกปี แต่มีบางชนิดกลับไปใช้รังเดิม เช่น เหยี่ยวออสเปรคู่เดิมจะกลับไปซ่อมแซมรังเก่าใช้ จนรังมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนปีที่นกใช้วางไข่ นกบางชนิดก็ไม่สร้างรัง แต่จะวางไข่บนพื้นดินเฉยๆ แล้วทำการฟักไข่ตรงนั้น เช่น นกตบยุง และมีนกอีกหลายชนิดไม่รู้จักสร้างรัง แต่แอบวางไข่ในรังนกชนิดอื่นๆ เพื่อให้นกนั้นเลี้ยงลูกให้จนโต เช่น นกกาเหว่า นกอีวาบตั๊กแตน
สถาน ที่สร้างรังเป็นสิ่งสำคัญประการแรกที่นกคำนึงถึง นกจะเลือกสร้างรังในจุดที่ศัตรูเข้าไปถึงได้ยากที่สุด เช่น ปลายกิ่งไม้ ตามโพรงไม้ บางชนิดทำรังอยู่บนเกาะกลางทะเลห่างไกลผู้คน เช่น นกบู๊บบี้ แต่มีบางชนิดสามารถปรับตัวเข้ามาทำรังตามบ้านเรือนหรือบริเวณใกล้เคียงตามใน เมืองได้ เช่น นกกระจอกบ้าน นกกางเขนบ้าน วัสดุที่นกใช้สร้างรังมักขึ้นอยู่กับลักษณะของรัง ซึ่งต่างกันไปตามชนิดของนกแต่ต้องคำนึงถึงความมั่นคงแข็งแรงและไม่เป็นจุด เด่นให้สังเกต ได้ง่ายเป็นหลักส่วนใหญ่มักได้จากส่วนต่างๆ ของต้นไม้ เช่น กิ่งไม้ ใบไม้ เยื่อไม้
เมื่อ แม่นกวางไข่แล้วตามปกตินกตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันฟักไข่แต่ส่วนใหญ่เป็น หน้าที่ของตัวเมียโดยจะผลัดกันฟัก ตัวผู้เป็นฝ่ายหาอาหารและช่วยฟักบางช่วง แม่นกต้องรักษาอุณหภูมิของไข่ให้คงที่เฉลี่ย 34 องศาเซลเซียส โดยใช้ ? แผ่นฟักไข่ ? ช่วยถ่ายเทความร้อนจากตัวแม่นกให้แก่ไข่ คอยรักษาอุณหภูมิไข่ไว้ไม่ให้ร้อนหรือเย็นเกินไป แผ่นฟักไข่เป็นบริเวณท้องที่ขนหลุดร่วงไปก่อนจะฟักไข่และมีเส้นเลือดมากมาย มาหล่อเลี้ยง นกบางชนิดไม่มีแผ่นฟักไข่ เช่น เป็ด จึงต้องใช้วิธีดึงขนอุยบริเวณหน้าท้องหรือหน้าอกให้ร่วงลงพื้นรังเพื่อสร้าง ความอบอุ่น นกบู๊บบี้ฟักไข่โดยใช้เท้าที่มีพังผืดและเต็มไปด้วยเส้นเลือดช่วยถ่ายเทความ ร้อนสู่ไข่ ทั้งนี้นกจะฟักไข่ทั้งกลางวันและกลางคืน ระยะเวลาฟักไข่เริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาที่นกวางไข่ฟองสุดท้าย จนกระทั่งไข่ฟองสุดท้ายฟักออกเป็นตัว ส่วนใหญ่นกใช้เวลาฟักไข่นาน 2 สัปดาห์ แต่นกที่มีขนาดใหญ่จะใช้เวลานานกว่านี้
พ่อ แม่นกต้องคอยดูแลปกป้องและคุ้มครองลูกนกทันทีที่ออกจากไข่ ถ้าเป็นนกที่ทำรังบนพื้นดินพ่อแม่นกอาจคาบเปลือกไข่ไปทิ้งให้ไกลจากรัง เพราะเปลือกไข่ด้านในที่แตกออกมามีสีขาวเด่นชัด ทำให้ศัตรูสังเกตเห็นได้ง่าย แต่ถ้าเป็นนกชนิดที่ลูกนกสามารถออกเดินตามพ่อแม่ไปได้ทันทีที่ออกจากไข่ พ่อแม่ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเปลือกไข่ เพราะพ่อแม่นกจะนำลูกนกทิ้งรังออกไปหากินที่อื่น
ลูก นกแรกเกิดมีวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อการใช้ชีวิตในช่วงที่ต้องอยู่กับพ่อแม่ ถ้าเป็นลูกนกที่อยู่ในไข่จนโตเต็มที่จึงออกมา ลูกนกประเภทนี้พอออกจากไข่จะลืมตาได้เลย มีขนอุยขึ้น และสามารถออกจากรังได้ทันที เช่น ลูกเป็ด ลูกไก่ พ่อแม่จะพาลูกออกจากรังไปหากินได้เลย แต่หากเป็นลูกนกที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ลูกนกประเภทนี้ออกจากไข่โดยมี ขนอุยปกคลุม ตัวน้อยมากหรือไม่มีเลยยังลืมตาไม่ได้ และขาไม่แข็งแรง เช่น ลูกนกแต้วแล้ว ลูกนกแก้ว พ่อแม่ต้องนำอาหารมาป้อนให้ อาหารที่นำมาป้อนต้องมีโปรตีนสูง เพราะจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูกนก แม้แต่นกที่กินผลไม้หรือน้ำหวาน พ่อแม่ยังต้องนำหนอนหรือแมลงมาป้อนลูกนก ซึ่งพ่อแม่นกมีวิธีป้อนอาหารให้ลูกนกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ลูกนกได้รับอาหารจากปากพ่อแม่โดยตรง สำหรับน้ำลูกนกจะได้รับปนมากับอาหาร
พฤติกรรม อีกประการหนึ่งซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของพ่อแม่นกคือ ป้องกันภัยให้ลูกนก พ่อแม่นกเกือบทุกชนิดต้องเฝ้าดูแลให้ลูกนกปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา หากมีศัตรูเข้ามาใกล้ พ่อแม่อาจใช้วิธีขับไล่โดยตรงหรือใช้วิธีอำพรางศัตรู เช่น นกกระแตแต้แว้ด จะแกล้งทำปีกหักล่อให้ศัตรูหันมาสนใจกับตนแทนลูกนก เมื่อเห็นว่าลูกนกปลอดภัยแล้ว จึงรีบบินหนีไปอย่างรวดเร็ว เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นนกมีลักษณะก้าวร้าวอาจจะบินโจมตีหรือส่งเสียงขับไล่ นั่นหมายถึงว่ามีรังพร้อมทั้งลูกนกอยู่บริเวณนั้น ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังไม่เข้าใกล้รังจนเกินไปหรือหลีกเลี่ยงไปทางอื่น เสีย เพื่อไม่ให้เป็นรบกวนจนนกต้องทิ้งรังไปหรืออาจเป็นการนำศัตรูของนกเข้าไปที่ รังได้
พ่อ แม่นก ต้องใช้เวลาในการเลี้ยงดูลูกนกนานหลายสัปดาห์โดยลูกนกจะได้รับการฝึกหัดจาก พ่อแม่ทุกประการ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่รอดด้วยตนเองได้ ลูกนกจะได้รับการสอนให้หาอาหารเอง รู้จักเลือกกินอาหาร หัดบิน ส่งเสียงร้อง และพฤติกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต
พฤติกรรม ต่างๆ ที่นกแสดงออกเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการเกี้ยวพาราสี การคาบวัสดุสร้างรังหรือป้อนอาหาร หากเราสังเกตดูจะทราบว่านกกำลังอยู่ในช่วงผสมพันธุ์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมในช่วงวงจรชีวิตของนกที่เราควรบันทึกรายละเอียด วันเวลา สถานที่ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาเรื่องราวการดำรงชีวิตของนก รวมทั้งลักษณะของรังและพัฒนาการของลูกนกที่พบ การเฝ้าสังเกตนกที่อยู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ จะต้องทำอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อมิให้เป็นการรบกวนนก เพราะอาจทำให้นกทิ้งรังและไข่ได้ หรือหากไข่ถูกทิ้งนานเกินไปอุณหภูมิไม่คงที่อาจจะทำให้ไข่นั้นไม่ฟัก และการปรากฎตัวใกล้รังนกบ่อยๆ อาจทำให้สัตว์ล่าสงสัยและเข้ามาพบรังนกได้
ช่วงผลัดขน
เป็น ช่วงเวลาที่นกแสดงพฤติกรรมน่าสนใจอีกช่วงหนึ่งของปี คือ เป็นช่วงที่นกผลัดเปลี่ยนขนชุดใหม่แทนชุดเก่าที่ชำรุดหรือฉีกขาด นกส่วนใหญ่ผลัดขนปีละครั้ง ส่วนใหญ่ผลัดขนหลังฤดูผสมพันธุ์ แต่นกที่มีการอพยพย้ายถิ่นจะผลัดขนปีละ 2 ครั้ง นกบางชนิดผลัดขนทั้งที่ขนชุดเก่ายังใช้งานได้ดี เพื่อให้ได้ขนชุดใหม่ที่มีสีสันสดใสขึ้น สำหรับดึงดูดเพศตรงข้ามในช่วงฤดูผสมพันธุ์ เช่น นกชายเลน
การ ผลัดขนเกิดขึ้นตามลำดับที่คงที่เจาะจง เช่น เริ่มจากขนปีกไปตามลำดับ และแม้ว่าจะอยู่ในช่วงผลัดขน แต่นกส่วนใหญ่ยังคงบินได้อยู่ แต่อาจมีนกเป็ดน้ำบางชนิดที่บินไม่ได้ในช่วงผลัดขนนกจะไม่ผลัดขนในช่วงฤดู ผสมพันธุ์ เพราะต้องการโปรตีนเพื่อให้ขนเจริญเติบโต และไม่เกิดในช่วงย้ายถิ่นด้วย เพราะนกต้องการขนที่มีสภาพดีพอที่จะบินได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นระยะไกล แต่จะผลัดขนในช่วงก่อนบินย้ายถิ่น สภาพและสีสันของขนที่เห็นช่วยจำแนกให้ทราบว่า นกที่พบเป็นตัวเต็มวัยหือนกวัยอ่อน และอาจช่วยจำแนกชนิดได้ด้วย แต่บางครั้งเมื่ออยู่ในช่วงผลัดขน เราอาจจำแนกชนิดได้ผิดพลาดเมื่อดูจากสีขนที่เปลี่ยนไป เพราะตามปกตินกตัวผู้บางชนิดมีสีขนสวยงาม แต่พอหมดฤดูผสมพันธุ์จะสลัดขนทิ้งแล้วมีขนใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งขนชุดใหม่จะมีสีซีดจางคล้ายกับขนของนกตัวเมีย ทำให้เราสับสนได้ระหว่างนกตัวผู้กับนกตัวเมีย ขนของนกตัวผู้ในช่วงนี้เรียกว่า eclipse ส่วนมากพบในพวกนกเป็ดน้ำและนกกินปลีบางชนิด
ช่วงย้ายถิ่น
การ อพยพย้ายถิ่นของนกเป็นวงจรชีวิตที่สำคัญในการดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความ เปลี่ยนแปลง ของฤดูกาลเนื่องจากนกต้องการอาหารสำหรับเลี้ยงชีพและมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะ สมในการดำรงชีวิตตลอดทั้งปี นกที่อาศัยอยู่ในประเทศเขตร้อนมักไม่ต้องย้ายถิ่น เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก และมีอาหารการกินตลอดทั้งปี ซึ่งตรงข้ามกับนกในแถบเหนือของโลก ที่มีอากาศหนาวเย็นมากในช่วงฤดูหนาวแหล่งอาหารถูกปกคลุมด้วยหิมะจนทำให้ อาหารหายาก นกส่วนใหญ่จึงต้องบินย้ายถิ่นเพื่อความอยู่รอดไปยังแหล่งที่มีอาหารอุดม สมบูรณ์กว่า โดยบินลงใต้มาหากินและอาศัยอยู่ทางเขตร้อน ที่มีอาหารและอากาศอบอุ่นกว่าตลอดช่วงฤดูหนาว ก่อนจะบินอพยพกลับไปยังถิ่นเดิมเพื่อสร้างรังวางไข่อีกครั้งเมื่อฤดูหนาว ผ่านพ้นไป หมุนเวียนเช่นนี้ทุกปี
แม้ นกอพยพส่วนใหญ่จะบินย้ายถิ่นมาจากแถบตอนเหนือของโลก เช่น ยุโรปหรือไซบีเรีย แต่นกบางชนิดในเขตร้อนก็มีการอพยพเหมือนกัน เช่น นกยางดำ นกแต้วแล้วธรรมดา บินมาวางไข่ในประเทศไทยช่วงฤดูฝน เพื่อหนีจากลมมรสุมในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตร และจะบินกลับไปเมื่อถึงฤดูหนาว ส่วนนกปากห่างอพยพเข้ามาทำรังวางไข่ในประเทศช่วงหน้าแล้ง และบินกลับไปบังคลาเทศและอินเดียเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน
อุณหภูมิ ที่ค่อยๆ ลดต่ำ เวลากลางวันที่สั้นกว่ากลางคืน เป็นสิ่งกระตุ้นให้นกเริ่มเตรียมตัวเพื่อการอพยพย้ายถิ่น นกจะกินอาหารเพื่อสะสมพลังงานให้เต็มที่ และเมื่อผลัดขนชุดใหม่สมบูรณ์พร้อมสำหรับการบินทางไกล นกจึงเริ่มอพยพย้ายถิ่น นกในอเมริกาเหนือจะบินสู่อเมริกาใต้ นกทางฝั่งยุโรปจะบินลงสู่แอฟริกา นกที่อาศัยอยู่ทางเหนือของยุโรปและเอเชียจะบินลงสู่เอเชียใต้ มีบางกลุ่มบินไปจนถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ นกชายเลนในเอเชียส่วนใหญ่ทำรังวางไข่ทางเขตทุนตราในไซบีเรีย มองโกเลียและตอนเหนือสุดของประเทศจีน เมื่อหมดฤดูผสมพันธุ์จะพากันอพยพย้ายถิ่นลงมาทางตอนใต้ เพื่อมาอาศัยหากินในเอเชียตอนล่าง เลยไปจนถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
เส้นทางการย้ายถิ่น
นก แต่ละชนิดเลือกเส้นทางและช่วงเวลาบินต่างกัน นกขนาดเล็ก เช่น นกกินแมลงมักบินอพยพในช่วงกลางคืน เพราะอากาศคงที่ อุณหภูมิต่ำช่วยลดการสูญเสียพลังงานได้มากและช่วยให้ปลอดภัยจากศัตรูโดยใช้ เวลากลางวันพักหาอาหาร ส่วนนกขนาดใหญ่ เช่น นกอินทรี นกกระสา จะบินอพยพในตอนกลางวันและพักในตอนกลางคืน นอกจากนี้มีนกหลายชนิดที่บินอพยพทั้งกลางวันและกลางคืน
นก มักบินอพยพไปพร้อมกันเป็นฝูง เช่น นกชายเลน นกเป็ดน้ำ แม้กระทั่งนกที่ชอบอยู่ตามลำพังอย่าง นกกระสาหรือเหยี่ยว จะรวมกันเป็นกลุ่มเมื่อบินอพยพ เพราะการบินรวมกันเป็นฝูงช่วยทำให้นกหาทิศทางได้ดีกว่าบินตามลำพัง จกจะบินเกาะกลุ่มกันอย่างเป็นระเบียบ เช่น ฝูงห่านป่าจะบินรวมกันเป็นรูปตัววี ในแต่ละวันนกบินอพยพเป็นระยะทางมากกว่า 400 กิโลเมตร ทุกปีนกหลายล้านตัวจึงบินอพยพเป็นระยะทางไกลด้วยเส้นทางไกลด้วยเส้นทางเดิม เส้นทางที่นกเลือกต้องมีสภาพพิ้นที่ที่อุดมสมบูรณ์และเอื้อประโยชน์ต่อการ ย้ายถิ่นของนกแต่ละชนิดต่างกันไป เช่น นกชายเลนจะบินย้ายถิ่นไปตามแนวชายฝั่ง เพื่อแวะพักหาอาหารไปตลอดทาง สำหรับนกที่มีขนาดใหญ่ เช่น นกกระสาหรือนกอินทรีจะต้องบินไปตามแผ่นดินเสมอเพื่อใช้การลอยตัวของอากาศ ร้อนช่วยในการพยุงตัวและ ร่อนไป
มี ข้อสรุปมากมายเกี่ยวกับเส้นทางบินของนก นักปักษีวิทยาหลายคนอ้างถึงการมีส่วนช่วยของสัญชาตญาณหรือกรรมพันธุ์ แต่ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้แน่ชัด มีเหตุผลกล่าวอ้างว่า นกใช้การสังเกตดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์เป็นเครื่องกำหนดทิศเช่นเดียวกับเข็ม ทิศหรือ นกอาจใช้สนามแม่เหล็กในการหาทิศทางหรือใช้วิธีจำกลิ่นไอของเส้นทาง แต่เหตุผลที่ยอมรับกันมากที่สุดบอกว่า นกบินตามเส้นทางเดิมได้ถูกต้องโดยใช้การจำทิศทางโดยอาศัยชายฝั่ง แนวเทือกเขา และแม่น้ำเป็นเครื่องหมายแทนแผนที่ และนกวัยอ่อนคงจดจำตามนกที่โตกว่า ดังนั้นนกส่วนใหญ่จึงมักอพยพรวมกันเป็นฝูง เพื่อช่วยในการหาทิศทาง แต่ในบางครั้งอาจมีนกบางส่วนหลงไปจากพื้นที่เดิมจนไปถึงแหล่งใหม่ ซึ่งเป็นเหตุให้เราพบนกชนิดใหม่ในประเทศไทยได้เป็นประจำในช่วงที่นกย้ายถิ่น
นัก ปักษีวิทยามีความ พยายามที่จะศึกษาเส้นทางการบินอพยพของนกกันอย่างกว้างขวาง เพื่อที่จะได้ทราบถึงสภาพพื้นที่ที่นกเลือกบินผ่านว่า มีความสมบูรณ์และเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างในแต่ละปีเพื่อนำข้อมูลที่ได้มา ใช้สำหรับการศึกษาหาแนวทางในการอนุรักษ์นกเหล่านั้น วิธีการศึกษาเส้นทางอพยพของนกมีหลายวิธีต่างกันออกไป ตั้งแต่การนับจำนวนนกที่บินผ่านดวงจันทร์ เพื่อบันทึกเวลาและทิศทางบินวิธีติดตั้งวิทยุเป็นวิธีที่ได้ผลอย่างหนึ่ง แต่ต้องใช้เงินลงทุนสูง เทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างเรดาห์ก็ถูกนำมาใช้เพื่อตรวจสอบจำนวน ทิศทางการบินแม้จะได้ผลค่อนข้างดี แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ไม่อาจแยกจำนวนนกได้สำหรับวิธีศึกษาการย้ายถิ่นของนก ที่นิยมกันมากที่สุดคือ จับนกมาติดห่างหรือปลอกที่ขาแล้วปล่อยไปหลังจากนั้นจึงจับนกกลับมาตรวจสอบ ข้อมูลอีกครั้ง นักปักษีวิทยาชาวเดนมาร์กชื่อ เฮซ ซี ซี มอร์เตนเซน เป็นผู้นำวิธีนี้มาใช้เป็นคนแรกเมื่อปี พ . ศ . 2442 โดยสวมปลอกแหวนสังกะสีกับนกกิ้งโครงพันธุ์ยุโรปจำนวน 165 ตัว พร้อมกับสลักชื่อปีและสถานที่ไว้บนปลอก หลังจากนั้นวิธีนี้ก็ได้รับความนิยมเรื่อยมา มีการพัฒนาให้ปลอกมีน้ำหนังเบาและใส่รายละเอียดเพิ่มมากขึ้น แต่การใส่ปลอกขานกมีข้อเสียคือ มักเก็บนกที่ใส่ปลอกกลับคืนมาได้น้อย จึงต้องใส่ปลอกขาเป็นจำนวนมาก ถึงจะมีโอกาสจับกลับคืนมาได้สูง
ประเทศ ไทยอยู่ในแถบอบอุ่นบริเวณเส้นศูนย์สูตร มีสภาพอากาศในแต่ละฤดูกาลไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้มีอาหารสมบูรณ์ให้นกนานาชนิดได้หากินดำรงชีวิตอย่างสบายตลอดปี ในจำนวน 960 ชนิดที่พบในประเทศไทย มีจำนวน 1 ใน 3 เป็นนกอพยพย้ายถิ่นเข้ามา สำหรับนกที่อพยพเข้ามายังประเทศไทยเป็นกลุ่มนกที่บินมาจากไซบีเรีย มองโกเลีย จีน และเกาหลี พวกนกที่กินแมลง ส่วนใหญ่บินจากป่าสนไทก้าในไซบีเรีย มีนกกระจิ๊ดบางชนิดบินมาไกลจากยุโรป ส่วนนกเป็ดน้ำและนกชายเลนยินมาจากเขตทุนดราตอนเหนือของรัสเซีย ซึ่งเราจะพบนกอพยพเหล่านี้กระจายหากินอยู่ในภูมิประเทศที่แตกต่างกันออกไป เช่น ป่าไม้ หนองบึง บนยอดดอย ชายทะเล หรือแม้กระทั่งในเมืองและตามท้องทุ่ง ช่วงย้ายถิ่นของนกเป็นโอกาสให้นักดูนกสามารถพบนกชนิดใหม่ต่างไปจากนกประจำ ถิ่นที่เคยพบอยู่ตลอดปี และการได้พบนกย้ายถิ่นชนิดต่างๆ ตลอดจนสังเกตเส้นทางการบินและแหล่งอาศัยที่พบ จะทำให้เราทราบถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ อันจะนำไปสู่การร่วมมือกันอนุรักษ์พื้นที่เหล่านั้นไว้ให้คงความอุดมสมบูรณ์ พอที่นกย้ายถิ่นจะได้กลับมาอาศัยอยู่ตลอดช่วงฤดูหนาว และยังเป็นการช่วยรักษาความสมดุลให้กับธรรมชาติตลอดไป