Saturday, November 2, 2013

(ชื่อวิทยาศาสตร์Psittacus torquata) แยกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้มากกว่า 500 ชนิด มีพื้นเพที่อยู่อาศัยตั้งเดิมอยู่ในป่าทึบ ในเขตร้อนของประเทศ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย หมู่เกาะมลายู แอฟริกา ทางใต้ของทิศ เหนือของอเมริกา อินเดีย นอกจากนี้แล้วยังพบทางแถบตะวันตกของอินเดียโดยทั่วไป นกในตระกูลนกแก้วนั้น มักมีความแตกต่างไปจากนกตระกูลอื่นอยู่อย่างหนึ่ง คือ จงอย ปากตอนบนของนกแก้วสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่รวมกับหน้าผาก (ขากรรไกร) และมี ลักษณะเด่นได้แก่ ปากคมแข็ง จงอยปากงุ้มเข้าโคนใหญ่ปลายแหลมน่ากลัว เท้ามีนิ้วข้าง หลังสองนิ้วและข้างหน้าสองนิ้วทุกนิ้วมีเล็บที่แหลมคม สามารถใช้เท้าจับกิ่งไม้ได้เหนียวแน่น ปีนป่ายคันไม้ได้เก่งเป็นพิเศษ และในบางโอกาสยังสามารถจับฉีกอาหารได้ด้วย ปาก ส่วนใหญ่เป็นสีแดง ขนเป็นสีเขียว สามารถ นำมาฝึกสอนให้พูดภาษาของมนุษย์ได้แทบทุกชนิด
สำหรับรังและที่อยู่อาศัยของนกแก้วโดยทั่วไปมักอยู่ตามในโพรงไม้ หรือโพรงหิน ไม่นิยมใช้วัสดุต่าง ๆ ทำรัง นกจากนกแก้ว เควเคอร์(Quaker Parrakeet) และ นกแก้ว อัฟเบริด์ (Lovebirds) นกแก้วทั้ง 2 ชนิดนี้ นิยมทำรังโดยใช้แขนงหรือกิ่งไม้เล็ก ๆ เศษ หญ้า เปลือกไม้โดยนำมาสานประกอบขึ้นเป็นรังเป็นนกปากงุ้มเป็นขอในวงศ์ Psittacidae ตัวสีเขียว ปากแดง อยู่รวมกันเป็นฝูง กิน
เมล็ดพืชและผลไม้ ในประเทศไทยมีหลายชนิด เช่น นกแก้วโม่ง (Psittacula eupatriaแก้วหัวแพร (P. roseata) นกมาคอว์ อาหารที่ชอบกินคือผลไม้ โดยนกแก้วมีหลายชนิดและมีสีสดใส ส่วนมากเราจะเห็นนกแก้วมีสีแดง สีน้ำเงิน สีฟ้า
นกที่คนไทยชอบเลี้ยงมาแต่โบรานมีนกแก้วรวมอยู่ด้วย เพราะนกแก้วสามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้ กล่าวกันว่ามันมีความจำดี เรียนรู้ได้เร็ว ถ้าพูดอะไรให้ฟังบ่อยๆก็สามารถพูดได้ กล่าวกันว่าเมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทับไปบุกอินเดียได้ทอดพระเนตรเห็นนกแก้วเข้า ก็ชอบพระทัยได้ทรงนำกลับยุโรปด้วย และในไม่ช้าก็เป็นที่นิยมมาก ด้วยเหตุนี้ในสมัยนั้นนกแก้วจึงมีราคาแพงมาก จึงได้มีการค้าขายนกแก้วทั้งในยุโรปและเอเชีย การที่คนเราชอบเลี้ยงนกแก้วนั้นเห็นจะเป็นเพราะเหตุ 4 ประการ
  1. นกแก้วมีสีสวย รูปร่างงดงาม
  2. สามารถพูดเลียนภาษามนุษย์ได้
  3. เลี้ยงง่าย
  4. อายุยืน อย่างในเรื่อง Popular Pet Birds ของ R.P.N. Sinha กล่าวว่า นกแก้วมีอายุยืนมาก อาจอยู่ได้ถึง 70 ปีนกแก้ว หรือ นกปากขอ (อังกฤษ: Parrot) เป็นอันดับของนกอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psittaciformes
    เป็นนกที่มีความแตกต่างกันมากทางสรีระ คือมีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงใหญ่ (19-100 เซนติเมตร) มีหัวกลมโต ลำตัวมีขนอุยปกคลุมหนาแน่น ขนมีแกนขนรอง ต่อมน้ำมันมีลักษณะเป็นพุ่มขน ผิวหนังค่อนข้างหนา มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากนกอันดับอื่น ๆ คือ จะงอยปากที่สั้นหนา และทรวดทรงงอเป็นตะขอหุ้มปากล่าง มีความคมและแข็งแรง อันเป็นที่ของชื่อสามัญ ใช้สำหรับกัดแทะอาหารและช่วยในการปีนป่าย เช่นเดียวกับกรงเล็บ[2] รูจมูกไม่ทะลุถึงกัน สันปากบนหนาหยาบและแข็งทื่อ ขนปลายปีกมี 10 เส้น ขนกลางปีกมี 8-14 เส้น ไม่มีขนกลางปีกเส้นที่ 5 ขนหางมี 12-14 เส้น หน้าแข้งสั้นกว่าความยาวของนิ้วที่ยาวที่สุด แข้งปกคลุมด้วยเกล็ดชนิดเกล็ดร่างแห นิ้วมีการจัดเรียงแบบนิ้วคู่สลับกัน คือ เหยียดไปข้างหน้า 2 นิ้ว (นิ้วที่ 2 และ 3) และเหยียดไปข้างหลัง 2 นิ้ว (นิ้วที่ 1 และนิ้วที่ 4) ซึ่งนิ้วที่ 4 สามารถหมุนไปข้างหน้าได้
    เป็นนกที่อาศัยและหากินบนต้นไม้ กินผลไม้และเมล็ดพืช บินได้ดีัและบินได้เร็ว พบอาศัยอยู่เป็นคู่หรือเป็นฝูง ทำรังตามโพรงต้นไม้ ไข่สีขาว ลักษณะทรงกลม วางไข่ครั้งละ 2-6 ฟอง ลูกนกแรกเกิดมีสภาพเป็นลูกอ่อนเดินไม่ได้ พบกระจายพันธุ์ตามเขตร้อนทั่วโลก ในบางชนิดมีอายุยืนได้ถึง 50 ปี โดยเฉพาะนกแก้วชนิดที่มีขนาดใหญ่ และจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่า นกแก้วขนาดใหญ่มีความเฉลียวฉลาดเทียบเท่ากับเด็กอายุ 4 ขวบ[2]
    เป็นนกที่มนุษย์รู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องด้วยนิยมเลี้่ยงเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถฝึกหัดให้เลียนเสียงตามแบบภาษามนุษย์ในภาษาต่าง ๆ ได้ ประกอบกับมีสีสันต่าง ๆ สวยงามตามชนิด ซึ่งนกแก้วไม่มีกล่องเสียง แต่การส่งเสียงมาจากกล้ามเนื้อถุงลมและแผ่นเนื้อเยื่อ เมื่ออวัยวะส่วนนี้เกิดการสั่นสะเทือน จึงเปล่งเสียงออกมาได้[2][3]แบ่งออกได้ราว 360 ชนิด ใน 80 สกุล[4]
    ในประเทศไทยพบเพียงวงศ์เดียว คือ Psittacidae หรือนกแก้วแท้ พบทั้งหมด 7 ชนิด ใน 3 สกุล อาทิ นกแขกเต้า (Psittacula alexandri), นกแก้วโม่ง (P. eupatria) เป็นต้น[3]
    อย่างไรก็ตาม มีนแก้วโม่ง (อังกฤษ: Alexandrine parakeet, Alexandrine parrot; ชื่อวิทยาศาสตร์: Psittacula eupatria) เป็นนกตระกูลนกแก้วขนาดเล็ก-กลาง โดยมีชื่อสามัญตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่ อเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์แห่งอาณาจักรมาซิโดเนีย เมื่อครั้งยาตราทัพเข้ามาสู่ในทวีปเอเชีย โดยได้นำนกแก้วชนิดนี้กลับไปยังทวีปยุโรป
    นกแก้วโม่งมีถิ่นกำเนิดแพร่กระจายทั่วไปในแถบทวีปเอเชีย ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกและตะวันออกของอัฟกานิสถาน, ไล่ลงไปยังอินเดียอินโดจีน เช่น พม่า หรือประเทศไทยฝั่งตะวันตก รวมทั้งยังพบได้ตามหมู่เกาะในทะเลอันดามัน

    ลักษณะ[แก้]

    นกแก้วโม่งมีความยาววัดจากหัวถึงปลายหางได้ราว 57-58 เซนติเมตร ลำตัวมีสีเขียว จงอยปากมีลักษณะงุ้มใหญ่สีแดงสด บริเวณหัวไหล่จะมีแถบสีแดงแต้มอยู่ทั้งสองข้าง นกเพศผู้และเมียสามารถแยกแยะได้เมื่อนกโตเต็มที่ กล่าวคือในเพศผู้จะปรากฏมีแถบขนสีดำและสีชมพูรอบคอที่เรียกกันว่า "Ring Neck" ซึ่งในนกเพศเมียไม่มีเส้นที่ปรากฏดังกล่าว

    อนุกรมวิธาน[แก้]

    นกแก้วโม่ง มีชนิดย่อยลงไปอีก 4 ชนิด คือ
    ความแตกต่างของแต่ละชนิดย่อยนั้น อาจมีต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของ ขนาด, ความยาว และสีสันที่ปรากบนลำตัว

    พฤติกรรม[แก้]

    อาหารของนกแก้วโม่งในธรรมชาติ ประกอบด้วย เมล็ดพืชต่าง ๆ, ผลไม้หลากชนิด, ใบไม้อ่อน ฯลฯ
    นกแก้วโม่งจัดเป็นนกแก้วที่มีเสียงร้องค่อนข้างดัง และมักเลือกที่จะทำรังตามโพรงไม้ใหญ่ ๆ โดยใช้วิธีแทะหรือขุดโพรงไม้จำพวกไม้เนื้ออ่อน หรืออาจเลือกใช้โพรงไม้ที่เก่าต่าง ๆ โดยในฤดูผสมพันธุ์ซึ่งจะแตกต่างกันตามลักษณะสายพันธุ์ย่อย อันเกี่ยวเนื่องกับอุณหภูมิและสภาพทางภูมิศาสตร์ แต่โดยเฉลี่ยจะเริ่มจากเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงราวปลายเมษายน โดยในระหว่างฤดูผสมนี้เพศเมียจะค่อนข้างแสดงอาการดุ และก้าวร้าวมากขึ้น
    แก้วโม่งวางไข่ปีละครั้ง ครั้งละ 2-4 ฟอง

    สถานะการอนุรักษ์[แก้]

    นกแก้วโม่งจัดเป็นนกแก้วที่นิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ เพราะพบว่าเป็นนกแก้วที่มีความสามารถในการเลียนเสียงต่าง ๆ โดยเฉพาะเสียงมนุษย์ได้ดี ปัจจุบันนกแก้วโม่งจัดเป็นนกที่อยู่ในบัญชีคุ้มครอง 2 ของอนุสัญญาไซเตส รวมทั้งเป็นนกที่กฎหมายให้ความคุ้มครองในแต่ละประเทศด้วยเช่นกัน
    นกแก้วโม่งเป็นนกที่ได้รับการนำมาเพาะพันธุ์โดยมนุษย์ประสบผลสำเร็จ ทำให้แนวทางในลดปัญหาจากลักลอบจับหรือล่านกแก้วโม่งป่า เพื่อการค้า มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

    การเลี้ยงดู[แก้]

    สำหรับการเลี้ยงนกแก้วโม่งในครอบครองนั้น ผู้เลี้ยงควรต้องศึกษาในเรื่องของพฤติกรรมความเป็นอยู่, ลักษณะนิสัย รวมทั้งการจัดการด้านอาหารและสถานที่เลี้ยงให้ถูกต้อง เพราะการเลี้ยงนกที่ผิดไปจากธรรมชาติถิ่นที่อยู่เดิมนั้น ปัญหาประการหนึ่งก็คือ "ความเครียด" ของนก ดังนั้นการจัดหาความพร้อมทั้งสถานที่,อุปกรณ์ อาหารการกินที่เหมาะสม อาจช่วยให้นกได้รู้สึกมีความสุขและลดความเครียดลง รวมทั้งยังพร้อมที่จะตอบสนองต่อการเป็นนกในฐานะสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ได้อย่างมีความสุข และมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป[2]

    อ้างอิง[แก้]

    1. Jump up BirdLife International (2012). "Psittacula eupatria"IUCN Red List of Threatened Species. Version 2012.1International Union for Conservation of Nature. สืบค้นเมื่อ 16 July 2012.
    2. Jump up Grimmett. Birds of India. [ม.“นกแก้ว” (Parrot) ชื่อนี้เป็นที่คุ้นหูและคุ้นเคยของคนไทย แต่ยังขาดความเข้าใจขั้นพื้นฐานในความหมายของคำว่า “นกแก้ว” อย่างแท้จริง เพราะเวลาเราเรียกนกแก้ว เราจะต้องระบุชื่อของสายพันธุ์ของนกด้วย ปัจจุบันมีนกแก้วมากกว่าห้าร้อยกว่าสายพันธุ์ในโลกนี้ ความหมายของคำว่า “นกแก้ว” นั้นหมายถึง นกปากขอ(ลักษณะปากเป็นตะขอโค้งงอ) บางสายพันธุ์สามารถฝึกให้เลียนเสียงได้ (พูดได้) แต่บางสายพันธุ์ไม่มีความสามารถในการเลียนเสียงได้ (พูดไม่ได้) หรือถ้าจะฝึกให้พูดได้ อาจจะใช้ความสามารถและเวลาของผู้ฝึกค่อนข้างมาก จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่มนุษย์เรามักที่จะเลือกนกแก้วมาเลี้ยง เพื่อทำการฝึกพูด แต่ในปัจจุบัน การนำนกแก้ว มาเลี้ยงมีจุดประสงค์มากมายหลายอย่างด้วยกัน เช่น
      macore14macore15
      การนำนกมาแสดงนกแก้วมาร์คอว์ที่ใช้แสดง
      boom_ka_bank_pet_013
      กรงเลี้ยงนกแก้วขนาดใหญ่
        
           -เลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อน เพลิดเพลินภายในบ้าน และความสุขของครอบครัว
           -เลี้ยงเพื่อเพาะขยายพันธุ์ เพื่อเชิงพาณิชย์(ปัจจุบันมีเพิ่มปริมาณมากขึ้นทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ แต่อยู่ในเงื่อนไขอนุสัญญา CITES รายละเอียด อยู่ในกฎกระทรวง)
           -เลี้ยงเพื่อการศึกษา ทำวิจัย รวมทั้งจัดเป็นสวนสัตว์สาธารณะ
           -เลี้ยงเพื่อจุดประสงค์อื่นๆ (อาจมีน้อย)
             เมื่อพูดถึงนกแก้ว เรามักจะนึกถึง นกแก้วสีเขียว (Normal-Wild type) เป็นนกแก้วธรรมชาติ เช่น เลิฟเบิร์ด หงส์หยก อิคเลคตัส แก้วโม่ง แก้วอินเดี่ยน ริงค์เน็ค ฯลฯ แต่บางชนิดถึงแม้จะเป็นนกธรรมชาติ (Normal) แต่ก็ไม่มีสีเขียว เช่น นกค๊อกคาเทล มาร์คอว์ กระตั้ว และ อีกหลายๆสายพันธุ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วในตัวนกแก้วเองกลับไม่มีสีเขียว (สีจริงๆ) เลยแม้แต่น้อย แต่เป็นการสะท้อนชั้นสีที่หลอกตาเราซึ่ง เราเรียกว่า (Tyndall effect) ชั้นสีที่เราเห็นออกเป็นสีเขียวนั้นประกอบไปด้วย ชั้นล่างสุดเป็นสีพื้น (Structural colour) มีสีเทาออกดำ เราเรียกว่า เมลานิน (Melaningranules) เหนือชั้นเมลานินขึ้นมาจะเป็นพื้นสีฟ้า (Blue Layer) เราเรียก grey family pigment และเหนือชั้นสีฟ้าจะเป็นพื้นสีเหลือง (Yellow family pigment) หรืออาจเรียกว่าสีนกแก้ว (Psittacins) เมื่อเรามองจากข้างบนลงไปจะผ่านสีเหลืองลงไปพื้น สีฟ้าและสีเทาซึ่งเป็นสีพื้น (Ground Structural colour) ภาพที่แสดงออกมาให้เราเห็นจะเป็นสีเขียว เราเรียกว่าสีนกแก้ว (Parrot Psittacins)ป.ท.] : Inskipp and Inskipp, [ม.ป.ป.]. ISBN 0-691-04910-
        การแพร่พันธุ์ของนกแก้วตามธรรมชาติไม่สามารถที่จะแปรผันทางพันธุกรรม(Genetics Variation) ไปได้หลายสีมากนักถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยปีก็ตาม การแปรผันจากรุ่นหนึ่ง (Generation) ไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง (Generation) ก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้เกิดสีขึ้นได้มาก การที่มนุษย์นำนกแก้วมาเลี้ยงเพื่อเพาะขยายพันธุ์ จึงเป็นการขยายพันธุ์ และเพิ่มสีสันของนกแก้วให้แปรผันไปตามพันธุกรรม ของพ่อ-แม่ นก ซึ่งเราเรียกว่า Colour Mutations and Genetics Breeding ให้เป็นไปตามหลักพันธุศาสตร์
             มีการทดลองการถ่ายทอดตามลักษณะพันธุกรรมมาเนิ่นนานในศตวรรษที่ 18 ซึ่งการทดลองในสมัยนั้น เกรเกอร์โจฮัน เมนเดล (Gregor Johan Mendel) ได้มีการทดลองการปลูกถั่วลันเตา (Pisum sativum) เขาได้ค้นพบการสืบทอดลักษณะต่างๆจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ตามลักษณะทางพันธุกรรม (Genetics Character) เมนเดลได้ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงสรุปออกมาเป็นกฎได้ด้วยกันดังนี้
      พันธุกรรมของนกที่แปรผัน Mutations เป็นสีใหม่ที่นอกจากสีเขียว
      กฎข้อ 1) Monohybrid crossing
               เป็นการสืบลักษณะพันธุกรรมซึ่งมีลักษณะต่างกันอย่างเดียว ถ้ามีการนำมาประยุกต์ใช้กับการเลี้ยงนก ก็คือ ให้สีเขียว Normal คงที่แล้วนำสีต่างๆ มาผสมก็จะได้ลูกของสีต่างๆ ออกมาในรุ่นที่1,2,3, ตามลำดับ แต่จะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ
      กฎข้อ 2) Dihybrid cross
               เป็นการผสมพันธุ์กันโดยพิจารณาสองลักษณะ เป็นการเปรียบเทียบตามความเข้าใจหรือที่เรียกว่าการพัฒนา และเขายังค้นพบอีกว่าผลของ Trihybrid cross และ Polyhybrid cross ก็เป็นไปตามกฎข้อที่ 2
               (กฎทั้ง 2 ข้อมีผลต่อการพัฒนาทางพันธุกรรมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน)
               กฎของเมนเดลนั้นสามารถนำมาพิสูจน์ทางพันธุกรรมของพืชและสัตว์ได้ทุกชนิด จนปัจจุบันจะเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้วก็ตาม เราจึงยกย่องให้เมนเดลเป็นบิดาแห่งพันธุศาสตร์ตามหลักพันธุศาสตร์นั้น พืช หรือสัตว์ที่เกิดมาเป็นหนึ่งหน่วยของรุ่นลูกนั้น จะประกอบไปด้วย ยีน (Gene) ซึ่งมาจากพ่อและแม่เสมอ ซึ่งเรียกว่า 1 คู่ยีน สัตว์และพืช แต่ละชนิดจะประกอบไปด้วยจำนวนคู่ยีนที่แตกต่างกันไป คู่ยีนแต่ละคู่จะเป็นตัวควบคุมลักษณะที่ออกมาให้เราเห็นลักษณะเด่น (Dominant) ส่วนอีกด้านหนึ่ง อาจจะซ่อนอยู่ เราไม่สามารถมองเห็นได้ ลักษณะด้อย (Recessive) ทั้งคู่จะจับคู่กัน และอยู่ในคน ในนก และสัตว์อื่นๆได้ ส่วนลักษณะด้อยนั้นจะแสดงออกมาในชั้นลูกและชั้นต่อๆไป การแปรผันของยีน ก็สามารถถ่ายทอดลักษณะต่างๆ สู่รุ่นลูกรุ่นหลานไปได้เรื่อยๆ และสามารถทำนายอนาคตได้ โดยอาศัยหลักพันธุศาสตร์ เข้ามาคำณวนนั่นเอง
        นกแก้วเองก็เหมือนกันก็สามารถที่จะแปรผันถ่ายทอดลักษณะของสีผ่านรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งได้จึงเกิดเป็นสีมากมายอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน จนเราอาจเรียกได้ว่าเป็นแฟชั่น บางครั้งความหลากหลายของการแปรผันของสีนกนั้นมากมายจนเราจินตนาการตามไม่ทัน ถึงขนาดทำให้เราเข้าใจว่ามันยาก แต่แท้ที่จริงแล้ว หากเราเข้าใจพื้นฐานแล้ว เป็นนักเลี้ยงนกที่ช่างสังเกตุ และพยายามรวบรวมนกที่เราเพาะพันธุ์สีแปลกๆใหม่ๆ ไว้ขยายพันธุ์โดยมีเป้าหมาย เราจะเริ่มรักและสนุกกับการแปรผันของสี และเริ่มเข้าใจมากขึ้น โดยมีหลักกการว่า 


      อินเ
        1) เราจะพยายามเพาะพันธุ์นกให้ได้ทุกสายพันธุ์โดยเริ่มจากนกพื้นฐาน (นกธรรมชาติ) ในราคานกที่ไม่สูงนัก โดยให้จำไว้เสมอว่า สีเขียวธรรมชาติ (Norrmal) ของนกแก้วนั้น สามารถจะพัฒนาสีไปได้เป็นพันๆสี ขอจงได้ค้นหาและดึงมันออกมาให้ได้ 
               2) นกสีสวยงามนั้น แท้จริงแล้วเกิดจากการเพาะขยายพันธุ์โดยผีมือของมนุษย์แทบทั้งนั้น ถ้าปล่อยให้นกอยู่ธรรมชาติ (Natural Survival) ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดสีใหม่ได้มากมายขนาดนั้น และบางชนิดมีการขยายพันธุ์ได้มากกว่าอยู่ธรรมชาติ เพื่อให้เกิดสีใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา บางครั้ง ทำให้เราได้เรียนรู้ และสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ และธรรมชาติ รวมทั้งนำความรู้ที่ได้ถ่ายทอดไปสู่รุ่นลูก รุ่นหลาน อย่างไม่มีที่สิ้นสุด 
               3) ผู้ที่จะเลี้ยงนกให้ดี สีสันสวยงามได้ จะต้องมีทั้งความรัก และความอดทนรวมทั้งทุนทรัพย์เพียงพอ ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน หากต้องใช้เวลา ค่าใช้จ่ายในการดูแลและขยายพันธุ์ ส่วนนี้จะเป็นบทพิสูจน์ของการได้มาซึ่งคุณภาพของนกที่เลี้ยงจะเห็นว่าในปัจจุบัน นกแก้วที่เป็น พ่อ-แม่ พันธุ์ที่เลี้ยงกันอยู่ ส่วนใหญ่จะขาดคุณภาพ ก็เนื่องจากว่าการเลี้ยงมีการเร่งขยายพันธุ์ เร่งการจับเข้าคู่โดยไม่ได้คำนึงถึงความสมบูรณ์ของนก ผู้ที่นำลูกนกไปเลี้ยงจึงเกิดปัญหาเป็นผลพวงตามมาเรื่อยๆบทเริ่มต้นของนกแก้ว (The Original of Parrots)
               “นกแก้ว” (Parrot) ชื่อนี้เป็นที่คุ้นหูและคุ้นเคยของคนไทย แต่ยังขาดความเข้าใจขั้นพื้นฐานในความหมายของคำว่า “นกแก้ว” อย่างแท้จริง เพราะเวลาเราเรียกนกแก้ว เราจะต้องระบุชื่อของสายพันธุ์ของนกด้วย ปัจจุบันมีนกแก้วมากกว่าห้าร้อยกว่าสายพันธุ์ในโลกนี้ ความหมายของคำว่า “นกแก้ว” นั้นหมายถึง นกปากขอ(ลักษณะปากเป็นตะขอโค้งงอ) บางสายพันธุ์สามารถฝึกให้เลียนเสียงได้ (พูดได้) แต่บางสายพันธุ์ไม่มีความสามารถในการเลียนเสียงได้ (พูดไม่ได้) หรือถ้าจะฝึกให้พูดได้ อาจจะใช้ความสามารถและเวลาของผู้ฝึกค่อนข้างมาก จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่มนุษย์เรามักที่จะเลือกนกแก้วมาเลี้ยง เพื่อทำการฝึกพูด แต่ในปัจจุบัน การนำนกแก้ว มาเลี้ยงมีจุดประสงค์มากมายหลายอย่างด้วยกัน เช่น
      macore14macore15
      การนำนกมาแสดงนกแก้วมาร์คอว์ที่ใช้แสดง
      boom_ka_bank_pet_013
      กรงเลี้ยงนกแก้วขนาดใหญ่
        
           -เลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อน เพลิดเพลินภายในบ้าน และความสุขของครอบครัว
           -เลี้ยงเพื่อเพาะขยายพันธุ์ เพื่อเชิงพาณิชย์(ปัจจุบันมีเพิ่มปริมาณมากขึ้นทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ แต่อยู่ในเงื่อนไขอนุสัญญา CITES รายละเอียด อยู่ในกฎกระทรวง)
           -เลี้ยงเพื่อการศึกษา ทำวิจัย รวมทั้งจัดเป็นสวนสัตว์สาธารณะ
           -เลี้ยงเพื่อจุดประสงค์อื่นๆ (อาจมีน้อย)
             เมื่อพูดถึงนกแก้ว เรามักจะนึกถึง นกแก้วสีเขียว (Normal-Wild type) เป็นนกแก้วธรรมชาติ เช่น เลิฟเบิร์ด หงส์หยก อิคเลคตัส แก้วโม่ง แก้วอินเดี่ยน ริงค์เน็ค ฯลฯ แต่บางชนิดถึงแม้จะเป็นนกธรรมชาติ (Normal) แต่ก็ไม่มีสีเขียว เช่น นกค๊อกคาเทล มาร์คอว์ กระตั้ว และ อีกหลายๆสายพันธุ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วในตัวนกแก้วเองกลับไม่มีสีเขียว (สีจริงๆ) เลยแม้แต่น้อย แต่เป็นการสะท้อนชั้นสีที่หลอกตาเราซึ่ง เราเรียกว่า (Tyndall effect) ชั้นสีที่เราเห็นออกเป็นสีเขียวนั้นประกอบไปด้วย ชั้นล่างสุดเป็นสีพื้น (Structural colour) มีสีเทาออกดำ เราเรียกว่า เมลานิน (Melaningranules) เหนือชั้นเมลานินขึ้นมาจะเป็นพื้นสีฟ้า (Blue Layer) เราเรียก grey family pigment และเหนือชั้นสีฟ้าจะเป็นพื้นสีเหลือง (Yellow family pigment) หรืออาจเรียกว่าสีนกแก้ว (Psittacins) เมื่อเรามองจากข้างบนลงไปจะผ่านสีเหลืองลงไปพื้น สีฟ้าและสีเทาซึ่งเป็นสีพื้น (Ground Structural colour) ภาพที่แสดงออกมาให้เราเห็นจะเป็นสีเขียว เราเรียกว่าสีนกแก้ว (Parrot Psittacins)
      เลิฟเบิร์ด
      นกแก้วปากขอขนาดเล็ก
      นกกระตั๊ว
      นกแก้วขนาดใหญ่
      นกแก้วโม่ง
      นกแก้วไทย



       หงส์หยก
      นกแก้วขนาดเล็ก
       การแปรผันของสี
      เกิดสีใหม่
       ค๊อกคาเทล

               การแพร่พันธุ์ของนกแก้วตามธรรมชาติไม่สามารถที่จะแปรผันทางพันธุกรรม(Genetics Variation) ไปได้หลายสีมากนักถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายร้อยปีก็ตาม การแปรผันจากรุ่นหนึ่ง (Generation) ไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง (Generation) ก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้เกิดสีขึ้นได้มาก การที่มนุษย์นำนกแก้วมาเลี้ยงเพื่อเพาะขยายพันธุ์ จึงเป็นการขยายพันธุ์ และเพิ่มสีสันของนกแก้วให้แปรผันไปตามพันธุกรรม ของพ่อ-แม่ นก ซึ่งเราเรียกว่า Colour Mutations and Genetics Breeding ให้เป็นไปตามหลักพันธุศาสตร์
             มีการทดลองการถ่ายทอดตามลักษณะพันธุกรรมมาเนิ่นนานในศตวรรษที่ 18 ซึ่งการทดลองในสมัยนั้น เกรเกอร์โจฮัน เมนเดล (Gregor Johan Mendel) ได้มีการทดลองการปลูกถั่วลันเตา (Pisum sativum) เขาได้ค้นพบการสืบทอดลักษณะต่างๆจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ตามลักษณะทางพันธุกรรม (Genetics Character) เมนเดลได้ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงสรุปออกมาเป็นกฎได้ด้วยกันดังนี้
      พันธุกรรมของนกที่แปรผัน Mutations เป็นสีใหม่ที่นอกจากสีเขียว
      กฎข้อ 1) Monohybrid crossing
               เป็นการสืบลักษณะพันธุกรรมซึ่งมีลักษณะต่างกันอย่างเดียว ถ้ามีการนำมาประยุกต์ใช้กับการเลี้ยงนก ก็คือ ให้สีเขียว Normal คงที่แล้วนำสีต่างๆ มาผสมก็จะได้ลูกของสีต่างๆ ออกมาในรุ่นที่1,2,3, ตามลำดับ แต่จะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ
      กฎข้อ 2) Dihybrid cross
               เป็นการผสมพันธุ์กันโดยพิจารณาสองลักษณะ เป็นการเปรียบเทียบตามความเข้าใจหรือที่เรียกว่าการพัฒนา และเขายังค้นพบอีกว่าผลของ Trihybrid cross และ Polyhybrid cross ก็เป็นไปตามกฎข้อที่ 2
               (กฎทั้ง 2 ข้อมีผลต่อการพัฒนาทางพันธุกรรมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน)
               กฎของเมนเดลนั้นสามารถนำมาพิสูจน์ทางพันธุกรรมของพืชและสัตว์ได้ทุกชนิด จนปัจจุบันจะเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้วก็ตาม เราจึงยกย่องให้เมนเดลเป็นบิดาแห่งพันธุศาสตร์ตามหลักพันธุศาสตร์นั้น พืช หรือสัตว์ที่เกิดมาเป็นหนึ่งหน่วยของรุ่นลูกนั้น จะประกอบไปด้วย ยีน (Gene) ซึ่งมาจากพ่อและแม่เสมอ ซึ่งเรียกว่า 1 คู่ยีน สัตว์และพืช แต่ละชนิดจะประกอบไปด้วยจำนวนคู่ยีนที่แตกต่างกันไป คู่ยีนแต่ละคู่จะเป็นตัวควบคุมลักษณะที่ออกมาให้เราเห็นลักษณะเด่น (Dominant) ส่วนอีกด้านหนึ่ง อาจจะซ่อนอยู่ เราไม่สามารถมองเห็นได้ ลักษณะด้อย (Recessive) ทั้งคู่จะจับคู่กัน และอยู่ในคน ในนก และสัตว์อื่นๆได้ ส่วนลักษณะด้อยนั้นจะแสดงออกมาในชั้นลูกและชั้นต่อๆไป การแปรผันของยีน ก็สามารถถ่ายทอดลักษณะต่างๆ สู่รุ่นลูกรุ่นหลานไปได้เรื่อยๆ และสามารถทำนายอนาคตได้ โดยอาศัยหลักพันธุศาสตร์ เข้ามาคำณวนนั่นเอง
      under-conunder-conunder-con
      การเรียงตัวของ
      โครโมโซม
      ลักษณะโครโมโซม
      ที่ถ่ายทอดสู่รุ่นลูก
      สีที่แสดงลักษณะด้อย
      ของเลิฟเบิร์ด
               นกแก้วเองก็เหมือนกันก็สามารถที่จะแปรผันถ่ายทอดลักษณะของสีผ่านรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งได้จึงเกิดเป็นสีมากมายอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน จนเราอาจเรียกได้ว่าเป็นแฟชั่น บางครั้งความหลากหลายของการแปรผันของสีนกนั้นมากมายจนเราจินตนาการตามไม่ทัน ถึงขนาดทำให้เราเข้าใจว่ามันยาก แต่แท้ที่จริงแล้ว หากเราเข้าใจพื้นฐานแล้ว เป็นนักเลี้ยงนกที่ช่างสังเกตุ และพยายามรวบรวมนกที่เราเพาะพันธุ์สีแปลกๆใหม่ๆ ไว้ขยายพันธุ์โดยมีเป้าหมาย เราจะเริ่มรักและสนุกกับการแปรผันของสี และเริ่มเข้าใจมากขึ้น โดยมีหลักกการว่า 

      lovebird_pet_003lovebird_pet_001lovebird_pet_002boom_ka_bank_pet_001boom_ka_bank_pet_002boom_ka_bank_pet_003
      นกแก้วหัวแพรเลิฟเบิร์ดไม่มีขอบตาเลิฟเบิร์ดมีขอบตาค็อกคาเทลอิคเลคตัสฟินซ์เจ็ดสี
      boom_ka_bank_pet_008) ความเข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาติและพื้นฐานสัญชาตญาณของนกก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่สามารถที่จะมองข้ามได้เลยหากเราละเมิดสิทธิของธรรมชาติแล้ว ความสมบูรณ์ของนกจะไม่มีเลยแม้แต่น้อย ปัจจุบันในการเพาะเลี้ยงนกแก้วมักจะกระทำผิด ขั้นตอนธรรมชาติ หลายๆประการ เช่น 
               -เข้าคู่ให้นกเพื่อขยายพันธุ์ทั้งที่นกนั้นยังไม่สมบูรณ์พอ (ถึงแม้อายุจะได้ แต่ความพร้อมทางสรีระยังไม่ได้) 
               -มีการฟักไข่ โยกย้ายไข่ไปให้คู่อื่นฟักหรือเข้าตู้ฟัก เพื่อหวังเร่งการผลิต สุดท้าย พ่อ-แม่ นกทำอะไรไม่เป็น ขาดสัญชาตญาณในการเลี้ยงลูก 
               -ไม่ยอมปล่อยให้พ่อ-แม่นกเลี้ยงลูกเอง นำลูกนกมาป้อน ตัดวงจรชีวิตนกและนำมาบอกเล่าต่อๆกันไปว่า เป็นสิ่งดี สุดท้าย พ่อ-แม่นกก็จะอายุสั้นลง เพราะวงจรชีวิตหายไป ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ 
               *จากเหตุผลข้างต้น นกลักษณะนี้จะอายุสั้น ให้ไข่ ให้ลูกที่ไม่สมบูรณ์ ลูกนกที่ได้ก็จะไม่มีภูมิคุ้มกันโรค ส่งผลให้ลูกนกที่แยกไปเลี้ยงอายุสั้นไปด้วย หรือตายตั้งแต่ยังเล็ก* 
               ดังนั้น การเสาะแสวงหาแหล่งพ่อแม่พันธุ์นก จึงจำเป็นสำหรับผู้ที่คิดจะเลี้ยง นก เพื่อทำมาหากิน มีอาชีพ และรายได้กับนก ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะหานกมาเลี้ยง เพราะอย่าลืมคิดว่าอนาคตเขาจะต้องอยู่กับเราอีกนาน ให้ลูกให้หลานเพื่อเป็นผลผลิตให้เรา อย่าเห็นแค่เพียงเป็นนกชนิดเดียวกน ราคาถูกอย่างเดียว แค่ราคานกถูก ไม่ใช่กฎเกณฑ์ตายตัวที่จะมาตัดสินกับคุณภาพของนก และชีวิตของผู้เลี้ยง เพราะ ผู้เลี้ยงบางคนต้องพึ่งข้าว พึ่งน้ำกับนก อย่าลืมคิดให้รอบคอบ เลือกให้ดีเพราะเราจะต้องอยู่กับนกอีกนาน นกก็ต้องอยู่กับเราอีกนานเช่นกัน 

      มารู้จักกับแหล่งที่อยู่อาศัยของนก

      แหล่งที่อยู่อาศัยของนก
      นกแต่ละชนิดต้องการสภาพนิเวศของแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งหา กินที่แตกต่างกันซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมากจากวิวัฒนาการ การปรับปรุงตัวเองให้เข้ากับ สภาพแวดล้อม เพื่อการอยู่รอด หากจำแนกนกตามแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งหากินแล้วสามารถจำแนกออกได้ ดังนี้
      1. พวกนกน้ำที่อาศัยและหากินกลางทะเล
      2. พวกนกน้ำที่อาศัยและหากินในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำ
      3. นกที่อาศัยและหากินในป่า
      4. นกที่อาศัยและหากินในบริเวณทุ่งโล่ง
      แหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งหากินของนกส่วนใหญ่อยู่ตามป่าไม้ ธรรมชาตแต่ก็มีนกหลายชนิดที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและแหล่ง หากินที่เปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญของบ้านเมืองและการพัฒนาของ มนุษย์โดย อพยพมาอาศัยอยู่ ตามชานเมืองหรือแหล่งชุมชนนกแต่ละชนิดมีถิ่นที่อยู่อาศัยในธรรมชาติแตกต่าง กันขึ้นอยู่กับวิวัฒนาการของนกและ ความสามารถ
      ในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป

      แหล่งที่อยู่อาศัยของนกมีดังนี้
      ป่าไม้ (forest) นกแต่ละชนิดอาศัยและหากินอยู่ในป่าที่มีลักษณะแตกต่างกัน ปัจจัยที่ทำให้เกิดป่าประเภทต่างๆ ที่สำคัญได้แก่ อุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน ลักษณะและ คุณสมบัติของดิน และความสูงจากระดับน้ำทะเล ซึ่ง นิวัติ (2537) กล่าวว่า ป่าในประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น
      2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ป่าไม่ผลัดใบหรือป่าดงดิบ (evergreen forest) และป่าผลัดใบ (deciduous forest)
      ป่าไม่ผลัดใบหรือป่าดงดิบ (evergreen forest) ป่าประเภทนี้มีอยู่ประมาณ 30% ของพื้นที่ป่าของประเทศแบ่งย่อยออกไปได้อีก 4 ชนิด คือ
      ป่่าดงดิบเขตร้อน (tropical evergreen forest) เป็นป่าที่อยู่ในเขตที่มีลมมรสุมพัดผ่านอยู่เกือบตลอดทั้งปี มีปริมาณน้ำฝนมาก ดินมีความชุ่มชื้น อยู่ตลอดเวลา มีอยู่ทั้งในที่ราบและที่เป็นภูเขาสูง มีกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่ภาคเหนือลงไปถึงภาคใต้แบ่งย่อยตามสภาพความ ชุ่มชื้นและความสูงต่ำ ของสภาพภูมิประเทศได้ดังนี้
      ป่าดงดิบชื้น (tropical rain forest) ป่าชนิดนี้โดยทั่วไปเรียกว่าป่าดงดิบ มีมากที่สุดในแถบจังหวัดที่อยู่ทางฝั่งทะเลตะวันออก เช่น
      ระยอง จันทบุรี และภาคใต้ซึ่งมีปริมาณน้ำฝนมากกว่าภาคอื่นๆ ลักษณะทั่วไปเป็นป่ารกทึบ ประกอบด้วยพรรณไม้มากมายหลายร้อยชนิด พรรณไม้ที่สำคัญในป่าชนิดนี้ เช่น ยาง ตะเคียน สยา ไข่เขียว กะบากขาว กะบากทอง ตีนเป็ดแดง รัก จิกเขา ขนุนนก ฯลฯ พื้นป่ามักรกทึบประกอบไปด้วยไม้พุ่ม ปาล์ม หวาย ไม้ไผ่ เถาวัลย์ ชนิดต่างๆ ป่าชนิดนี้แทบจะกล่าวได้ว่าไม่ได้รับผลเสียหายจากไฟป่าเลย และถ้าหากป่าถูกทำลายลงจะด้วยการกระทำของมนุษย์หรือ ภัยธรรมชาติก็ตาม พวกต้นเต้าและต้นสอยดาว จะเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว ป่าดงดิบมีความหลากหลายของนกมากโดยมีนกเงือกเปรียบ เสมือน สัญลักษณ์ ของป่าดงดิบ นอกจากนี้ก็มีพวก นกปรอด นกขุนแผน นกจับแมลง นกแต้วแล้ว นกกินแมลง และนกพญาปากกว้าง ฯลฯ
      ป่าดงดิบแล้ง (dry evergreen forest) มีอยู่ทั่วไปตามภาคต่าง ๆ ของประเทศตามที่ราบเรียบหรือตามหุบเขา มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ปานกลางประมาณ 300 ถึง 600 เมตร และมีน้ำฝนระหว่าง 1,000 ถึง 1,500 มิลลิเมตรต่อปี พรรณไม้ต่าง ๆ ที่ขึ้นมีอยู่หลายชนิด เช่น กะบากด กะบากโคก ยางนาหรือยางขาว ยางแดง ตะเคียนหิน สมพง มะค่าโมง ปออีเก้ง กัดลิ้น กระเบากลัก ข่อยหนาม กะบก ไม้พลอง ฯลฯ พืชชั้นล่างก็มีพวก ปาล์ม หวาย ขิง และข่าต่าง ๆ แต่ปริมาณไม่ค่อยหนาแน่นนัก และค่อนข้างเตียนโล่ง
      ป่าดงดิบเขา (hill evergreen forest) เป็นป่าที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป ส่วนใหญ่อยู่บนภูเขาสูงทางภาคเหนือและบางแห่งในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียง เหนือ เช่น ที่ทุ่งแสลงหลวงจังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ ป่าภูกระดึง จังหวัดเลยฯลฯ มีปริมาณน้ำฝนระหว่าง 1,000 ถึง 2,000 มิลลิเมตรต่อปี พรรณไม้ที่สำคัญในป่าชนิดนี้ได้แก่ไม้ในวงศ์ก่อ (Fagaceae) เช่น ก่อสีเสียดหรือก่อตาควาย ก่อตาหมูน้อย หรือก่อแพะ ก่อเดือย ก่อแป้น ก่อเลือด ก่อนก นอกจากนี้ยังมีสนสามพันปี พญามะขามป้อม พญาไม้ ขุนไม้ มณฑาป่า ทะโล้ ยมหอม กำลังเสือโคร่ง สนแผง อบเชย กำยาน มะขามป้อมดง ฯลฯ ป่าชนิดนี้บางทีก็มีพวกสนเขาขึ้นปะปนอยู่ด้วย ส่วนไม้พื้นล่างมักเป็น พวกเฟิร์น กล้วยไม้ดินและมอสต่าง ๆ แต่บางแห่งก็มีต้นกุหลาบป่าขึ้นอยู่ด้วย ป่าชนิดนี้มักอยู่บริเวณต้นน้ำลำธารและกำลังถูกทำลายอย่างหนักโดยเฉพาะ ทางภาคเหนือของ ประเทศไทย สำหรับนกเด่นของป่าประเภทนี้ ได้แก่ นกศิวะ นกปรอด นกจับแมลง รวมทั้งนกเดินดง และนกจาบปีกอ่อนที่อพยพ ย้ายถิ่นเข้ามาในช่วงฤดูหนาว
      ป่าสนเขา (coniferous forest) ป่าสนมีกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ ตามภาคเหนือเช่น จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง เพชรบูรณ์ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดเลย ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี มีอยู่ตามภูเขาและที่ราบบางแห่งที่สูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 200 เมตร ขึ้นไป บางครั้งจะพบขึ้นอยู่กับป่าแดงและป่าดิบเขา ป่าสนโดยทั่วไปมันจะขึ้นอยู่ในที่ดินพื้นที่ที่ดินไม่อุดมสมบูรณ์ เช่น ตามสันเขาที่ค่อนข้าง แห้งแล้ง ในประเทศไทยมีสนเขาอยู่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ สนสองใบ และสนสามใบ นอกจากต้นสนเขาแล้วป่าชนิดนี้จะมีไม้พวก เหียง พลวง และพวกก่อขึ้นปะปนอยู่ พืชชั้นล่างจะมีพวกหญ้าต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดไฟไหม้อยู่เสมอ และน้ำมันจาก เนื้อไม้สนก็เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ฉะนั้นป่าชนิดนี้ต้องมีการป้องกัน ไฟป่า อย่างรัดกุมและเข้มงวด เนื่องจากป่าสนเขาเป็นป่าโปร่งที่มีพรรณไม้อยู่ไม่มากนักโดยเฉพาะไม ้ขนาดใหญ่จึงพบนกอาศัยอยู่น้อย แต่ก็เป็นถิ่นอาศัย ของนกไต่ไม้ใหญ่ นกติ๊ดใหญ่ นกปีกลายสก๊อต และนกหัวขวานหลายชนิด ฯลฯ
      ป่าพรุหรือป่าบึง (swamp forest) คือป่าที่อยู่ตามที่ราบลุ่มมีน้ำขังเสมอและตามริมฝั่งทะเลที่มีโคลนเลนทั่ว ๆ ไป ที่มีปริมาณน้ำฝนไม่น้อยกว่า 2,000 มิลลิเมตร ต่อปี แบ่งออกเป็นชนิดย่อยได้อีก 2 ชนิด คือ
      ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด (fresh water swamp forest) ป่าประเภทนี้อยู่ถัดจากชายฝั่งทะเลเข้ามาหรือบริเวณที่ลุ่มที่มีการทับถมของซากพืชและอินทรีย์วัตถุที่ไม
      ่สลายตัว จะมีน้ำท่วมหรือชื้นแฉะตลอดทั้งปี ดินเป็นดินตะกอนหรือดินโคลน ป่าพรุชนิดนี้ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในจังหวัดนราธิวาส พรรณไม้ที่ขึ้นอยู่มี
      สำโรง จิกนม จิกนาหรือ กระโดนน้ำ กะเบาน้ำ หงอนไก่ทะเล กันเกรา และหลาวชะโอน ฯลฯ ธรรมชาติของป่าพรุมีจุดเด่นอยู่ที่ต้นไม้จะมี
      รากแขนงแผ่กว้างแข็งแรงเป็นพูพอนช่วยค้ำยันลำต้น เช่น สะเตียว ตังหนและช้างไห้ ฯลฯ เป็นไม้เด่น รวมทั้งหลุมพี หมากแดงและกะพ้อ ปัจจุบันป่าพรุที่สมบูรณ์เหลือ อยู่เพียงแห่งเดียวที่จังหวัดนราธิวาส นกที่พบในป่าพรุเป็นนก ในเขตซุนด้า (sundaic bird) ที่กระจายพันธุ์ขึ้น
      มาจาก ประเทศมาเลเซีย นกหลายชนิดเป็นนกหายาก เช่น นกเปล้าใหญ่ นกเค้าแดง นกกินแมลงหลังฟู และเป็ดก่า ฯลฯ แต่ในป่าพรุไม่พบนก ที่อาศัยและหากินอยู่ตามพื้นดินเลย อาทิเช่น นกกระทา และนกแต้วแล้ว นอกจากนี้ป่าพรุโต๊ะแดงยังเป็นแหล่งสร้างรังของนกตะกรุม อีกด้วย
      ป่าโกงกางหรือป่าชายเลน (mangrove swamp forest) ป่าชนิดนี้จะขึ้นอยู่ตามชายฝั่งทะเลที่มีดินโคลนและน้ำท่วมถึง เช่น ตามฝั่งทะเล ด้านตะวันตกตั้งแต่่จังหวัดระนองถึงจังหวัดสตูล ฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่จังหวัดสมุทรสงครามถึงจังหวัดตราดและจากจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ไปจนถึงจังหวัดนราธิวาสเป็นป่าที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ ของสิ่งมีชีวิตในทะเลและมีคุณค่าต่อการรักษาสมดุลของธรรมชาติ พืชในป่าชายเลนแต่ละชนิดมีรากค้ำจุน และรากอากาศ พรรณไม้ที่สำคัญในป่าชนิดนี้ส่วนใหญ่ อยู่ในวงศ์ Rhizophoraceae เช่น โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ โกงกางหัวสุม นอกจากนี้ ยังมี แสม ลำพู ลำแพน เหล่านี้เป็นต้น และมักจะขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ แยกออกเป็น แต่ละสกุลไป ส่วนพืชชั้นล่างนั้นมีน้อย
      ป่าชายเลนและป่าโกงกางเป็นป่าที่กำลังจะหมดไปจากประเทศไทยเนื่องจากการพัฒนาชายฝั่งทะเลให้เป็นแหล่งเลี้ยงกุ้งเพื่อส่งออกไปขายยังต่าง
      ประเทศ เป็นหลัก ทำให้พื้นที่ป่าชายเลนซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ น้ำในท้องทะเลต้องหมดไป นกหลายชนิดที่หากิน และอาศัยอยู่ใน เฉพาะในป่าชายเลนและ ป่าโกงกางก็ได้รับผลกระทบด้วย เช่น นกกระเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล นกแต้วแล้วป่าโกงกาง นกกินเปี้ยว และนกโกงกางหัวโต นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อนกฟินฟุทและนกกระสาคอดำซึ่งอยู่ในสถานภาพกำลังจะ สูญพันธุ์ ไปจาก ประเทศไทยในไม่ช้านี้
      ป่าชายหาด (beach forest) เป็นป่าที่มีอยู่ตามชายฝั่งทะเลที่เป็นดินกรวดทรายและโขดหิน พรรณไม้จะผิดแผกไปจากที่ถูกน้ำท่วม ถึง ถ้าชายฝั่งเป็นดินทรายก็จะมีสนทะเลขึ้นอยู่เป็นกลุ่มก้อนไม่ค่อยมีพรรณไม้ อื่นปะปนเลยพืชชั้นล่างก็มีพวกตีนนกและพันธุ์ไม้เลื้อยอื่นๆ อีกบางชนิด ถ้าเป็นดินกรวดหินพรรณไม้ที่ขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นพวก กะทิง หูกวาง ฯลฯ
      ป่าผลัดใบ (deciduous forest) ป่าผลัดใบแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ
      ป่าเบญจพรรณหรือป่าผสมผลัดใบ (mixed deciduous forest) ป่าชนิดนี้มีอยู่ทั่วไปในภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียง เหนือ ส่วนทาง ภาคใต้ไม่ปรากฏว่ามีป่าชนิดนี้อยู่เลย ป่าชนิดนี้มักจะมีต้นสักขึ้นปะปนอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะ ทางภาคเหนือและภาคกลางบางแห่ง ส่วน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมี ป่าเบญจพรรณอยู่น้อย ลักษณะของป่าเบญจพรรณโดยทั่วไปเป็นป่าโปร่ง ประกอบด้วยต้นไม้ขนาดกลางเป็น ส่วนใหญ่ พื้นป่า ไม่รกทึบ มีต้นไผ่ชนิดต่างๆ ขึ้นอยู่มาก ในฤด ูแล้งต้นไม้ต่างๆ จะพากันผลัดใบและมีไฟป่าอยู่ทุกปี มีพรรณไม้ขึ้นปะปนกัน หลายชนิด เช่น สัก แดง ประดู่ มะค่าโมง ชิงชัน เก็ดแดง ตะแบก รกฟ้า ยมหิน มะเกลือ มะกอก สมอไทย สมอพิเภก โมกมันฯลฯ พืชชั้นล่างก็มีพวกหญ้า กก ต้นไผ่ชนิดต่างๆ เช่น ไผ่ป่า ไผ่บง ไผ่ข้าวหลาม ไผ่ซาง ไผ่รวก ไผ่ไร่ ไผ่นวล ฯลฯ ป่าเบญจพรรณเป็นป่าที่มีความสำคัญต่อนกและสัตว์ป่ามาก เพราะเป็นป่าผลัดใบที่มีความ หลากหลาย ของพรรณพืชมาก ป่าเบญจพรรณมี ความชุ่มชื้นมากกว่า ป่าเต็งรังมีต้นไม้ขนาดใหญ่และไม้พุ่มหนาแน่นกว่าแต่ไม่รกทึบ อย่างป่าดงดิบ จึง เหมาะ แก่การหากินของสัตว์ป่าและ นกนานาชนิดและยังมีอาหารให้เลือกกินมากมายจึงพบนกและสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก มายโดย มีพวกไก่ฟ้า นกหัวขวาน นกโพระดก และนกเขียวก้านตองเป็นนกเด่น
      ป่าแพะ ป่าแดง ป่าโคก หรือป่าเต็งรัง (deciduous dipterocarp forest) ป่าชนิดนี้มีอยู่มากทางภาคเหนือ ภาคกลางและภาค
      ตะวันออก เฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้แถบจังหวัดจันทบุรีไม่ปรากฏว่ามีอยู่ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือนับว่ามีมาก ที่สุดคือประมาณ 70 ถึง 80% ของป่าชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในภาคนี้ทั้งหมด ป่าชนิดนี้มีอยู่ทั่วไปทั้งที่ราบและที่เขาสูง ดินมักเป็นดินทรายและ
      ดินลูกรัง ซึ่งจะมีสีค่อนข้างแดง ในบางแห่งจึงเรียกว่า ป่าแดง ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือป่าชนิดนี้ขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเนินที่ เรียกกันว่า
      โคก จึงได้ชื่อว่า ป่าโคก ลักษณะของป่าชนิดนี้ี้เป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้ขนาดเล็กและขนาดกลาง ขึ้นอยู่กระจัดกระจาย พื้นป่าไม่รกทึบ มีหญ้าชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะหญ้าเพ็กและไผ่ชนิดต่างๆ ทุกๆ ปีจะมีไฟไหม้ป่าชนิดนี้ พรรณไม้ที่ขึ้นในป่าชนิดนี้ ได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง กราด แสลงใจ มะขามป้อม พะยอมฯลฯ เนื่องจากป่าเต็งรังมีลักษณะ เป็นป่าโปร่ง และมีความหลากหลายของพรรณไม้ น้อยจึงพบนกอาศัยอยู่น้อยกว่าป่าไม้ชนิดอื่นโดยมีพวกนกหัวขวานชนิดต่างๆ เป็นนกเด่นของป่าเต็งรัง รวมทั้งนกปีกลาย สก๊อตและนกขุนแผน นอกจากนี้ก็มีพวกนกกระจิบหญ้าและนกกระติ๊ดตาม พงหญ้า ส่วนตามพื้นล่างมีนกกระทาทุ่งเดินหากิน
      ป่าหญ้า (savanna forest) เป็นป่าที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ป่าธรรมชาติชนิดอื่น ๆ ดังกล่าวข้างต้นได้ถูกทำลายไปหมด ดินมีสภาพเสื่อมโทรม ต้นไม้ไม่อาจขึ้นหรือเจริญเติบโตต่อไปได้ พวกหญ้าต่างๆ จึงเข้ามาแทนที่ จะพบอยู่ทั่วไปตามภาคต่างๆ ของประเทศไทย บริเวณที่ เป็นป่าร้างและไร่ร้าง หญ้าที่ขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นหญ้าคา แฝกหอม หญ้าชันอากาศ หญ้าพงและสาบเสือ ฯลฯ อาจจะมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่าง ๆ กันบ้าง เช่น กระโดน กระถินป่าหรือ กระถินพิมาน สีเสียดแก่น ประดู่ ซึ่งเป็นไม้พวกที่ ทนทานต่อไฟป่าได้ดีมาก ป่าหญ้าจัดเป็นแหล่งอาหารที่ดีของพวกสัตว์กินพืชในป่า
      หาดทรายและหาดโคลน (beach and mudflat) หาดทรายคือ บริเวณชายหาดที่เป็นทรายหรือดินปนทราย พรรณไม้ที่มีอยู่บริเวณนี้ ได้แก่ สนทะเล โพธิ์ทะเล ส่วนหาดโคลนก็คือพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่เป็นโคลนหรือโคลนปนทราย บริเวณหาดโคลนบางส่วนที่น้ำทะเลท่วมถึง แต่ไม่ตลอดเวลาทำให้มีพืช ขนาดเล็กและลำต้นเตี้ยขึ้นอยู่ได้ ในช่วงเวลาน้ำลดจะเป็นแหล่งหากินของนกชายเลนหลายชนิด หาดทรายและหาดโคลนตามชายฝั่งทะเล เป็นพื้นที่ที่มี ีความสำคัญสำหรับนกชายเลน นกอีก๋อย นกกระสา นกยาง และนกยางทะเล นกหลายชนิดกำลังจะหมดไป เช่น นกหัวโตมลายู นกที่อพยพย้ายถิ่นมาใน ฤดูหนาวเช่น นกซ่อมทะเลอกแดง นกหัวโตกินปูฯลฯ นอกจากนี้หาดทรายที่สงบเงียบยังเป็นแหล่งสร้างรัง วางไข่ของนกหัวโตมลายูและนางนวลแกลบเล็กด้วย แต่เนื่องจากการพัฒนาหาดทราย ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทำให้นกทั้งสองชนิดขาดแคลนสถานที่ขยายพันธุ์จนลด จำนวนลงอย่างรวดเร็ว และอาจสูญพันธุ์ไปในไม่ช้านี้
      ป่าเกาะและทะเล (island and sea) ป่าเกาะหมายถึงป่าบนเกาะในทะเลซึ่งเป็นแหล่งพักพิง เป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งสร้างรังของพวก นกทะเล หรือ นกที่ย้ายถิ่น ข้ามทะเล หรือข้ามทวีป เช่น พวกนกโจรสลัด นกนางนวล และนกประจำถิ่น เช่น นกชาปีไหนและนกลุมพูขาว ฯลฯ
      เขาหินปูน (limestone outcrops) ประเทศไทยมีเขาหินปูนกระจายอยู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศ บนเขาหินปูนมีป่าผลัดใบ ที่มีพรรณไม้ ขนาดเล็กขึ้นอยู่ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของนกหลายชนิดที่หลบหนีจากการทำลายป่าใน ที่ราบขึ้นไปอาศัย เช่น นกจู๋เต้น เขาหินปูน ซึ่งเป็นนกที่ ชอบอาศัยอยู่ตามเขาหินปูน นอกจากนี้ยังมีนกหลายชนิดที่อาศัยเขาหินปูนเป็นสถานที่สร้างรัง วางไข่ เช่น เหยี่ยวเพเรกริน 
      นกนางแอ่นผาสีคล้ำ และนกแอ่น อีกหลายชนิดboom_ka_bank_pet_004
      boom_ka_bank_pet_005boom_ka_bank_pet_006boom_ka_bank_pet_007